วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง

หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                สตีฟ จอบส์และบิล เกตส์ ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ลาออกในขณะที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เพราะทั้งคู่รู้ว่าตนเองชอบอะไร , ไทเกอร์ วูดส์ รู้ว่าตนชอบเล่นกีฬาประเภทกอล์ฟ มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ อีกทั้งหยุดการเรียนมหาวิทยาลัยขณะเรียนปีที่ 2 เพื่อออกไปเล่นกอล์ฟเป็นอาชีพ ,  มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ร่วมกับเพื่อนพัฒนา Faecbook ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หลังจากนั้นก็หยุดการเรียนแล้วเป็นผู้บริหารของFaecbook อย่างเต็มตัว
                บุคคลข้างต้นนี้ หยุดเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อออกมาทำในสิ่งที่ตนเองชอบหรือรักและบุคคลที่ประสบ ความสำเร็จอีกมากมายที่ยังไม่เคยมีโอกาสเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าคนที่เรียนในมหาวิทยาลัย ทั้งนี้เพราะเขาเหล่านั้นรู้ว่าตนเองชอบหรือรักอะไร  ดังนั้นหากท่านรู้จักตนเองว่าตนชอบหรือรักอะไร ท่านก็จะประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง
                จงค้นหาสิ่งที่ตนเองรัก ชอบ หรือมีศักยภาพในการทำสิ่งนั้น ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีการลองผิดลองถูก หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอาชีพ ถึงแม้ว่าท่านจะต้องใช้เวลาค้นหาชั่วชีวิตของท่านก็ตาม แต่ยังดีกว่าท่านไม่ได้ค้นหาตัวตนของท่านจริงๆ  ดังเช่นผู้พันแซนเดอร์สค้นหาตัวตนเจอก็ตอนอายุมากแล้วแต่ก็สามารถประสบความ สำเร็จจนโด่งดังไปทั่วโลก
                ผู้พันแซนเดอร์ส แห่ง ไก่ทอด KFC ค้นหาตัวตนเจอตอนอายุ 65 ปี หลังจากทำงานมากมายหลากหลายอาชีพ เช่น ทำงานในฟาร์ม คนขับรถบรรทุก พนักงานขายประกัน  พนักงานดับเพลิง ทหาร แต่ทักษะด้านการทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เขาจึงตัดสินใจทำสูตรไก่ทอดที่อร่อยที่สุดในโลกเมื่อตอนอายุ 65 ปี
                จงอย่าเลือกงานเพราะได้เงินมาก แต่จงเลือกงานที่ท่านรัก ท่านชอบ ท่านมีความเชี่ยวชาญ ถนัดและท่านมีความสุขกับงานนั้น อีกทั้งท่านก็เชื่อมั่นว่าท่านเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น ท่านก็จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
                สำหรับคนที่ไม่รู้จักตนเอง ส่วนมากมักจะล้มเหลวในชีวิตการทำงาน เพราะด้วยความไม่รู้จักตนเอง บางคนไม่มีทางเลือก คนเหล่านี้ต้องก้มหน้าทำงานที่ตนเองไม่ถนัด ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่มีความเชี่ยวชาญ นานตั้งหลายสิบปี รอจนหมดไฟบางคนต้องทนจนกระทั่งจบฉากของชีวิตไป
                คนเรากลัวการเปลี่ยนแปลงแต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง คนเราในโลกนี้มักกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอาชีพในปัจจุบัน หลายคนรู้ตัวว่าตนรักหรือชอบอะไร แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เหตุก็เพราะกลัวสิ่งต่างๆ เช่น กลัวว่าจะไม่มั่นคง กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวความลำบาก ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็จะเป็นได้แค่นักฝัน นักจินตนาการ นักพร่ำบ่น เท่านั้น จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหากท่านต้องการความสำเร็จ

อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน

อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                พวกเราหลายๆคน คงเคยได้อ่านประวัติของบุคคลที่เป็นอัจฉริยะกันบ้างแล้ว ถ้าว่าอัจฉริยะสามารถสร้างกันได้ไหม ได้ครับ หากว่าเราลองไปศึกษาประวัติของบุคคลที่เป็นอัจฉริยะ หลายๆท่านจะทำให้เราเรียนรู้ว่าอัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่านเองและสามารถสร้างกัน ได้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
                1.โทมัส อัลวา เอดิสัน กล่าวว่า “ อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ” ฉะนั้นจากคำกล่าวของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ทำให้เราทราบว่า ความอุตสาหะ พากเพียร ทำให้เกิดความเป็นอัจฉริยะขึ้น ดังเช่น หลวงวิจิตรวาทการได้ทำงานหนักด้วยความอุตสาหะ พากเพียร จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสามารถหลากหลายหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความ เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งได้
                2.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ” บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีจินตนาการสูง บุคคลที่เป็นนักประดิษฐ์คิดค้น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มักจะจินตนาการเห็นภาพของสิ่งต่างๆหรือสินค้านั้นก่อน หลังจากนั้นก็จะลงมือร่างในกระดาษเปล่า แล้วดำเนินการสร้างหรือประดิษฐ์ทันที จินตนาการจึงมีความสำคัญต่อบุคคลที่ต้องการสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ ขึ้นในโลกนี้
                3.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวว่า “ การเป็นผู้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจนมีความเชี่ยวชาญและรู้จักใช้คำพูดที่ดี เหล่านี้คือโชคดี” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอีกผู้หนึ่งที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านเรียนรู้สิ่งที่ท่านสอนผู้คนอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งปฏิบัติจนเกิดความเชี่ยวชาญและยังเป็นบุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นนัก พูดที่เก่งกาจ ทั้งพูดให้ผู้ฟังคิด พูดให้ผู้ฟังเกิดการปฏิบัติตาม หากท่านต้องการเป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านควรเรียนรู้สิ่งที่ท่านทำจนให้เกิดความเชี่ยวชาญและควรฝึกฝนการพูดให้ ได้ดี ท่านก็จะประสบความสำเร็จ
                4.แฟรงคลิน ดี.รุสเวลทต์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวนอกจากเจ้าตัวความกลัวเท่านั้น ” บุคคลธรรมดาทั่วโลก มักมีความกลัวต่างๆ มากมายจึงทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทำงานที่ยิ่งใหญ่ ทำงานที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและทำงานที่หนักได้ เช่น กลัวถูกวิจารณ์ กลัวถูกตำหนิ กลัวความไม่มั่นคงปลอดภัย กลัวความตาย กลัวพลัดพลาดจนคนที่เรารัก กลัวเจ็บป่วย กลัวอันตราย กลัวการถูกปฏิเสธ ฯลฯ ฉะนั้นหากท่านมีความกล้ามากขึ้น ท่านลดความกลัวต่างๆให้น้อยลง ท่านจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่ ทำงานที่สร้างสรรค์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น
                5.วอลเทอร์ อีเลียส ดิสนีย์หรือวอลท์ ดิสนีย์ เจ้าของสวนสนุกที่มีชื่อเสียงระดับโลก กล่าวว่า “ หากคุณได้ทำงานที่คุณรัก คุณจะประสบผลสำเร็จที่แท้จริง ” บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นอัจฉริยะบุคคลมักรักในงานที่ตนทำ หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่รักในงานที่ท่านทำแล้วท่านสามารถพัฒนาตนเอง เรียนรู้ ฝึกฝน อดทน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในงานของท่าน ท่านก็สามารถเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
                บุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะทั้ง 5 ท่านที่ได้กระผมได้เขียนไว้ข้างต้น อาจทำให้ท่านผู้อ่านได้แง่คิดและความรู้ในการปรับปรุงพัฒนาตัวท่านเอง ความเป็นอัจฉริยะสามารถ ฝึกฝน เรียนรู้ได้ ด้วยการทุ่มเททำงานอย่างหนัก มีจินตนาการ มีการเรียนรู้ฝึกฝนและการสื่อสารที่ดี มีความกล้าที่จะทำและมีความรักในงานของท่าน ความเป็นอัจฉริยะก็จะอยู่ที่ตัวท่าน

ใช้ความราบรื่นเพิ่มความสุขให้ชีวิต

ใช้ความราบรื่นเพิ่มความสุขให้ชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การหาความสุขให้กับชีวิตตนเอง บางคนคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก บางคนบอกว่าต้องไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ บางคนบอกว่าต้องมีรถมีบ้าน ฯลฯ แต่แท้จริงแล้วเราสามารถเพิ่มความสุขให้ชีวิตของตนเองได้โดยใช้วิธีการง่ายๆ อย่างราบรื่น ดังนี้
                1.หางานอดิเรกทำ อันว่างานอดิเรกคือ งานที่เราพอใจทำ เพื่อความสนุกสนาน มากกว่าคิดถึงค่าตอบแทนทางด้านการเงิน งานอดิเรกยังก่อให้เกิดประโยชน์หลายอย่างเช่น ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ องค์ความรู้ ทำให้รู้จักผู้คนในวงการที่ทำงานอดิเรกเดียวกันมากขึ้น ตัวอย่างงานอดิเรก การอ่านหนังสือ การสะสมสิ่งของต่างๆ การปลูกต้นไม้ การเล่นกีฬา การวาดรูป การเล่นดนตรี ฯลฯ
                2.ดื่มน้ำเปล่าๆดีที่สุด การดื่มน้ำเปล่าจะทำให้เราประหยัดเงินได้มากกว่า การดื่มเครื่องมดื่มต่างๆ เช่น กาแฟ น้ำอัดลม น้ำชา น้ำผสมหัวเชื้อผลไม้หรือสีต่างๆ ฯลฯ เพราะการดื่มน้ำเปล่านั้น ไม่มีคาเฟอีน ไม่มีน้ำตาล ไม่มีสี ไม่มีการอัดแก๊ส ไม่มีการผสมกลิ่น ไม่มีการผสมแอลกอฮอล์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่ออันตรายให้แก่ร่างกายหากว่ารับประทานเป็นจำนวนมากและ ทานประจำติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ การดื่มน้ำเปล่าจึงไม่ก่ออันตรายให้แก่สุขภาพ อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายเรามีความแข็งแรง เป็นปกติอีกด้วย
                3.อ่านหนังสือ การอ่านหนังสือช่วยสร้างความสุขให้กับชีวิตเรา บางคนมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็เพราะเหตุที่ได้อ่านหนังสือเพียง แค่เล่มเดียว การอ่านหนังสือดีๆยังช่วยให้เราเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านมักได้เปรียบกว่าคนที่ไม่มีนิสัยรักการอ่าน เพราะการอ่านหนังสือเหมือนเราได้อ่านประสบการณ์ต่างๆ ของผู้อื่น ซึ่งถ้าหากเราใช้ประสบการณ์ของตนเอง เราต้องเสียเวลาเป็นอันมาก การอ่านหนังสือจึงเป็นทางลัดที่นำตนเองไปสู่ความสำเร็จ
                4.การทำสมาธิ ท่านแทบไม่ต้องใช้เงินเลย เพียงแต่ทำใจให้สงบ การฝึกสมาธิจะช่วยลดความกดดันในตัวเรา ทำให้จิตใจเรามีความโปร่งใส จิตใจมีความเข้มแข็ง และมีกำลังความคิด กำลังใจ ในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ดังนั้นท่านสามารถหาความสุขได้จากการทำสมาธิในสถานที่ต่างๆ เช่น ที่บ้าน ที่สาธารณะ ที่วัด ในรถโดยสารประจำทาง ห้องนอน ฯลฯ
                5.การออกกำลังกาย เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คนเรามีความสุข เพราะเวลาเราออกกำลังกายจะมีสารสุขหรือเอ็นโดฟินส์หลั่ง การออกกำลังยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ทำให้รูปร่างดี ทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ
                6.ทำสวนครัว เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์และความสุข เพียงแต่ท่านพรวนดิน รดน้ำ ปลูกพืช ปลูกผักสวนครัวต่างๆ ก็จะทำให้ท่านเพลิดเพลินไปกับการได้ลงมือทำสวนครัว การทำสวนครัวจะทำให้ท่านได้บริโภคผักผลไม้ที่ไร้สารพิษ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทำให้ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ของท่านก็จะเบิกบานขึ้น
                7.เป็นตัวของตัวเองบ้าง การอยู่ร่วมกันในสังคมแน่นอนว่าความเป็นส่วนตัวหรือความเป็นตัวของตัวเองของ คนเราจะน้อยลง อีกทั้งยังต้องถูกอิทธิพลของคนอื่นครอบงำเราด้วย การหาโอกาสอยู่กับตัวเองหรือการให้เวลาอยู่กับตัวเองจะทำให้เราได้ศึกษา เรียนรู้ ตัวตนของเรามากขึ้น อีกทั้งถ้าหากเรารู้จักตนเองจะทำให้เราเกิดความสุขขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
                8.นอนหลับให้พอเพียง การหาความสุขให้กับตนเองง่ายๆ ด้วยการพักผ่อน การพักผ่อนที่ดีที่สุดและไม่เสียค่าใช้จ่ายคือ การนอนหลับ ท่านควรแบ่งเวลานอนหลับให้พอเพียงกับร่างกายของตนเอง ไม่มากไปหรือน้อยไป ถ้านอนหลับมากไปก็จะทำให้เราเกิดนิสัยขี้เกียจได้ หรือ ถ้าหากน้อยไปก็จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ จากงานศึกษาและวิจัย ช่วงระยะเวลาในการนอนหลับที่เพียงพอจะอยู่ระหว่าง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
                ดังนั้น เราสามารถแสวงหาความสุขได้อย่างเรียบง่าย อีกทั้งยังเสียค่าใช้จ่ายที่น้อย ก็ด้วยวิธีการต่างๆ ข้างต้น การทำงานอดิเรก การดื่มน้ำเปล่า การอ่านหนังสือ การทำสมาธิ การออกกำลังกาย การทำสวนครัว การเป็นตัวของตัวเอง และการนอนหลับให้พอเพียง เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้และก่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา

เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร

เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18  มี 5 สถาน คือ 1.ประหารชีวิต 2.จำคุก 3.กักขัง 4.ปรับ และ 5.ริบทรัพย์สิน หมายเหตุ โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความ ผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี และ ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่ มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษ ดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี
                แต่ถ้าท่านหรือญาติของท่านเป็นคนหนึ่งที่ถูกคดีฟ้องร้องถึงขั้นจำคุก ท่านสามารถรอดคุกรอดตะรางได้ โดยมีปัจจัยที่ทำให้ท่านรอดคุกรอดตะรางดังนี้
-                    หากว่าท่านเป็นจำเลย ถ้าหากพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด ท่านอาจรอดคุกรอดตะรางได้ กระผม
ขออธิบายเพิ่มเติม ในการทำคดีอาญา จะมี 2 ฝ่ายเสมอ คือมีโจทก์เป็นผู้ฟ้อง และมีจำเลยคือผู้ถูกฟ้อง  และการสืบพยานก็มักจะมีพยาน 2 ฝ่าย คือ พยานโจทก์และพยานจำเลย  โดยที่พยานโจทก์จะเบิกความเพื่อกล่าวหาว่าจำเลยมีความผิดและพยานจำเลยก็มัก จะเบิกความว่าจำเลยไม่ผิด ดังนั้น พยานโจทก์จึงมีความสำคัญที่จะทำให้จำเลยติดคุกได้ หากว่าพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด จำเลยก็มีสิทธิหลุดได้  อีกทั้งแนวทางการต่อสู้ของทนายความจำเลยก็มีความสำคัญ กล่าวคือหากทนายความจำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ เพื่อให้พยานโจทก์ตอบให้เกิดความสงสัยได้ยิ่งมากยิ่งดีจะทำให้ศาลมีโอกาสยก ฟ้องได้สูงขึ้น
-                    เด็กมีสิทธิรอดคุกรอดตะรางหรือไม่  มีครับ   ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษพนักงาน สอบสวนส่งตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองเด็ก เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หมายเหตุ : มาตรา 73 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
มาตรา 74 เด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้
(2) ถ้าศาลเห็นว่า บิดา มารดา หรือผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้แก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดซึ่งต้อง ไม่เกินสามปี และกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรซึ่งบิดา มารดา หรือผู้ปกครองจะต้องชำระต่อศาลไม่เกินครั้งละหนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อเด็กนั้นก่อเหตุร้ายขึ้น
-                    ถ้าเด็กนั้นอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่สมควรจะเรียกบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาวางข้อกำหนดดังกล่าวข้างต้น ศาลจะเรียกตัวบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาสอบถามว่า จะยอมรับข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้สำหรับบิดา มารดา หรือผู้ปกครองดังกล่าวมาข้างต้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ยอมรับข้อกำหนดเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลมีคำสั่งมอบตัวเด็กให้แก่บุคคลนั้น ไปโดยวางข้อกำหนดดังกล่าว
(3) ในกรณีที่ศาลมอบตัวเด็กให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ตาม (2) ศาลจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้นเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 56 ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลแต่งตั้งพนักงานคุมประพฤติหรือพนักงานอื่นใดเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น
(4) ถ้าเด็กนั้นไม่มีบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้ หรือถ้าเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และบุคคลนั้นไม่ยอมรับข้อกำหนดดังกล่าวใน (2) ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้อยู่กับบุคคลหรือองค์การที่ศาลเห็นสมควร เพื่อดูแลอบรม และสั่งสอนตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ในเมื่อบุคคลหรือองค์การนั้นยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้ให้บุคคลหรือองค์การนั้นมีอำนาจเช่นผู้ปกครองเฉพาะเพื่อ ดูแล อบรม และสั่งสอน รวมตลอดถึงการกำหนดที่อยู่และการจัดให้เด็กมีงานทำตามสมควร หรือให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นก็ได้ หรือ
(5) ส่งตัวเด็กนั้นไปยังโรงเรียน หรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้นจะมีอายุครบสิบแปดปี
-                    คำสั่งของศาลดังกล่าวใน (2) (3) (4) และ (5) นั้น ถ้าใน ขณะใดภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ศาลโดย ศาลรู้เอง หรือตามคำเสนอของผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือ บุคคลหรือองค์การที่ศาลมอบตัวเด็กเพื่อดูแล อบรมและสั่งสอนหรือ เจ้าพนักงานว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปก็ให้ ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งนั้น หรือมีคำสั่งใหม่ตามอำนาจ ใน มาตรานี้
หมายเหตุ : มาตรา 74 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
สำหรับ เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร กระผมจะทยอยเขียนเป็นตอนๆ เพราะยังมีอีกหลายกรณีที่เราสามารถรอดคุกรอดตะรางซึ่งสามารถทำได้โดยชอบด้วย กฎหมาย เช่น คนบ้ามีสิทธิรอดคุกรอดตะรางได้ , ครอบครัวสามีภรรยาพี่น้องลูกหลานพ่อแม่ทำผิดอาญาต่อกันสามารถรอดคุกรอด ตาราง(ในบางกรณีครับ)  ฯลฯ

ประตูสู่ความมั่งคั่ง

ประตูสู่ความมั่งคั่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                โอกาสแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย ยังเปิดประตูให้แก่คนทุกๆคน ขึ้นอยู่แต่ว่าคนๆนั้นจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องการมันอย่างแท้ จริงหรือไม่ แนวคิดและวิธีการสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวยมีด้วยกันหลายแนวความคิดขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเลือกปฏิบัติอย่างไร เช่น
                1.ต้องเชื่อก่อนว่าเรามีสิทธิร่ำรวยได้ หากว่าเราต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย เรามีความจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดเสียก่อนว่า คนเราเกิดมาในโลกนี้ มีสิทธิที่จะร่ำรวยได้ทุกๆคน มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย จากนักวิชาการหลายต่อหลายท่าน เรื่องของความมั่งคั่ง ร่ำรวย ปัญหาที่ขัดขวางที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยได้สิ่งนั้นก็คือเรื่องของความคิด ความเชื่อ ของตัวเราเอง
                2.หาหนทางช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด การช่วยเหลือผู้อื่นให้มากก็เสมือนหนึ่งว่าเราขยายฐานลูกค้าของตนเอง บุคคลที่เป็นมหาเศรษฐีมักมีแนวความคิดในลักษณะนี้ กล่าวคือทำอย่างไรถึงจะขายหรือบริการลูกค้าได้มากกว่านี้ ทำอย่างไรถึงจะช่วยเหลือลูกค้าได้มากกว่านี้ เช่น วิทยากรให้ความรู้ หากว่ามีแต่งานบรรยายก็สามารถช่วยเหลือคนได้แค่ในห้องฝึกอบรมเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าวิทยากรท่านใดมีความคิดจะช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น เขาก็จะทำเทป ทำหนังสือ จัดรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้คนให้มากขึ้น เมื่อเขาช่วยเหลือผู้อื่นมากๆ ความมั่งคั่งก็จะกลับมาสู่เขาในที่สุด
                3.เพิ่มความมั่งคั่งด้วยปัญญา คนที่มั่งคั่ง มักเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัว เป็นคนที่รู้จักใช้ความคิด อีกทั้งยังเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ฟังวิชาการและอบรมเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รู้จักใช้สิ่งต่างๆ ให้ก่อประโยชน์ในงานของตนเอง เช่น ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน การวิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างถูกต้อง
                4.ค้นหาว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร จงทำให้สิ่งที่ตนเองชอบ แล้วทำมันให้ดีที่สุด แล้วความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก็จะเกิดกับตัวท่าน ไทเกอร์ วูดส์ , เฉินหลง , สตีฟ จอบส์ , บิล เกตส์ ฯลฯ คนเหล่านี้รู้ว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร ความมั่งคั่ง ร่ำรวยจึงเขามาสู่เขาอย่างมากมายมหาศาล จงเลือกทำงานที่ตังเองรักชอบ แล้วท่านก็จะพบกับความสำเร็จ
                5.จงแปลง จินตนาการ ไอเดีย  ความคิด ให้เป็นความมั่งคั่ง ความมั่งคั่งลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา เราสามารถหาได้โดยสร้างจินตนาการ สร้างไอเดีย สร้างความคิด แปลกๆ ใหม่ๆ หากว่าท่านสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ท่านก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างยาวนาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อโซนี่ , บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์  ,  บริษัทไมโครซอฟต์ ฯลฯ   จงแปลง จินตนาการ ไอเดีย ความคิด ลงไปในบนกระดาษแล้วทำมันให้เป็นความจริง
                6.จักรวาลจะให้ความมั่งคั่ง ร่ำรวย แก่ท่านหากว่าท่านได้สร้างคุณสมบัติที่เกินกว่างานที่ท่านทำอยู่ในปัจจุบัน จงทำงานให้เกินกว่าเงินเดือน จงขยัน จงสร้างงาน จงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แล้วจักรวาลทั้งจักรวาลก็จะตอบแทนท่าน กิมย้งนักเขียนชาวจีนที่ร่ำรวย เขาสามารถสร้างรายได้จากงานเขียนของเขา เขาพัฒนางานเขียนของเขาตลอดเวลา งานเขียนของเขาจึงได้พัฒนาขึ้นทุกวันจนในที่สุด เขาจัดอยู่ในขั้นมหาเศรษฐี ผลงานที่เป็นอมตะนิยายเรื่อง มังกรหยก ก็เป็นหนึ่งในผลงานของเขา จงใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาตนเอง ผ่านร้านขายหนังสือมากกว่าการใช้จ่ายผ่านร้านกาแฟ
ดังนั้น หากว่าท่านต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย ประตูสู่ความมั่งคั่งเปิดให้แก่ท่านตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองว่าจะต้องการมันมากน้อยสักเพียงไร จงเชื่อว่าท่านสามารถร่ำรวยได้ จงหาวิถีทางในการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น จงใช้ปัญญา จงค้นหาตัวตนของตนเอง จงแปลงจินตนาการ จงพัฒนางานของท่าน และยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะนำพาท่านสู่ความสำเร็จ
จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ

ล้มได้ก็ลุกได้

ล้มได้ก็ลุกได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                บางช่วงเวลาในชีวิตของคนเรา อาจพบเจอกับอุปสรรค เจอความล้มเหลว เช่น การถูกให้ออกจากงาน ธุรกิจล้มละลาย ความพ่ายแพ้ในเกมส์ต่างๆ เช่น กีฬา การเลือกตั้ง การแข่งขัน ฯลฯ ฉะนั้นถ้าหากท่านเจอสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะ เมื่อมีความสำเร็จก็มักจะมีความล้มเหลว  เมื่อมีคำว่า “ชนะ” ก็ต้องมีคำว่า “พ่ายแพ้”  สิ่งต่างๆย่อมเป็นของคู่กัน
                ล้มได้ก็ลุกขึ้นสู้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตของคนเรา เราจะทำอย่างไรเมื่อเจออุปสรรค เจอความล้มเหลวเหล่านี้ เราจะลุกขึ้นสู้อีกครั้งได้อย่างไร หลายๆคน เกิดอาการเจ็บปวด เกิดอาการท้อแท้ใจ กำลังใจตก ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ทั้งนี้เราสามารถลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่งได้โดยวิธีง่ายๆดังนี้
                1.ควรพูดกับตนเองว่า “ เราทำดีที่สุดแล้ว ” จงคิดให้ได้ว่า บุคคลที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็คือบุคคลที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงแม้เราจะล้มเหลวแต่ก็ยังดีที่ได้ลงมือทำ การล้มครั้งนี้จึงเป็นเสมือนประสบการณ์ บทเรียนที่มีค่าสำหรับความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
                2.เหนื่อยมากก็พักก่อน เมื่อเราทำงานหนัก เมื่อเราต่อสู้ เมื่อเราล้มเหลว หากว่าเรารู้สึกว่าตนเองเหนื่อยมากๆ ก็ขอให้ท่านจงได้หยุดพักก่อน ท่านอาจจะหยุดพักโดยการพักผ่อน นอนหลับ ไปเที่ยว ไปปฏิบัติธรรม ฯลฯ
การหยุดพักไม่ได้หมายถึงว่าเรายอมแพ้ แต่เป็นเสมือนท่านไปชาร์ทแบตเตอรี่ เมื่อท่านได้พักแล้วท่านก็สามารถกลับไปสู้ใหม่ได้อีกครั้งด้วยพลังกาย พลังใจ ที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
                3.กล้าฝันใหม่อีกครั้ง ความฝันทำให้คนเราเกิดความหวัง เมื่อเกิดความล้มเหลว เกิดปัญหาอุปสรรค จงกล้าที่จะฝันใหม่ และจงกล้าที่จะฝันให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อท่านทำธุรกิจล้มละลาย ขอให้ท่านจงกล้าที่จะมีความฝันใหม่อีกครั้ง จงฝันที่จะสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
                4.จงเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วเอาชนะมัน จงวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ผิดพลาด อีกทั้งต้องเรียนรู้วิธีที่จะนำพาสู่ชัยชนะ จากแหล่งต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือ การปรึกษาขอคำแนะนำจากผู้ชนะ การฝึกอบรม การสัมมนา การฟังเทป ฯลฯ
5.จงสร้างเป้าหมาย คิด วางแผน จงคิดแล้วเขียนเป้าหมายและแผนต่างๆ ไว้ในกระดาษ แล้วจงลงมือทำไปที่ละก้าว ทำไปด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ต้องรีบร้อน ใช้ประสบการณ์ที่ล้มเหลว เป็นบทเรียน จงมีความอดทน ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่วางไว้
                6.จงปรับเปลี่ยน ทัศนคติ ความคิดใหม่ ผู้พ่ายแพ้มักมีนิสัยที่คิดลบตลอดเวลา ส่วนผู้ชนะมักคิดบวกอยู่เสมอ จงฝึกคิดบวก จงหัดมองโลกในแง่ดี จงเปิดโอกาสให้ตนเองใหม่อีกครั้งในการกลับไปต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆ  จงกล้าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อย่าไปแคร์กลับคำตำหนิ คำวิจารณ์ของผู้ใด จงเริ่มต้นก้าวอีกครั้งด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
                ฉะนั้น เมื่อท่านเจอปัญหา อุปสรรค เกิดความล้มเหลว หรือ เมื่อท่านล้มลง ท่านจะลุกขึ้นใหม่หรือไม่ลุกขึ้น ก็คงอยู่ที่ตัวท่านเองเป็นด้านหลัก บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะมีบททดสอบอยู่เสมอ
                อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา เปิดร้านขายของชำ เป็นช่างสำรวจ เป็นทหาร เป็นพนักงานไปรษณีย์ เป็นทนายความ ท่านพบกับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งตั้งมากมายหลายครั้ง ท่านพบกับความล้มเหลว มีการเปลี่ยนอาชีพตั้งหลายหน แต่ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้แล้วในที่สุดประวัติศาสตร์โลกก็จารึกชื่อของท่านว่า เป็น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...ท่านก็สามารถทำได้

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...ท่านก็สามารถทำได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                1.เล่นกีฬาที่ตนเองชอบ การเล่นกีฬาจะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้มีสมาธิ ทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งการเล่นกีฬายังสามารถช่วยในการทำธุรกิจได้อีกด้วย เช่น การเล่นกอล์ฟ หลายคนเล่นกอล์ฟเพื่อสร้างเครือข่ายในเชิงธุรกิจ บางคนใช้สนามกอล์ฟเจรจาการค้า บางคนเกิดความคิดใหม่ๆและได้รู้จักคนใหม่ๆในระหว่างเล่นกอล์ฟ
                2.ความวิตกกังวลเล็กน้อยเป็นสิ่งที่ดี  หากว่าท่านเป็นคนที่ไม่มีความวิตกกังวลเลย ชีวิตของท่านก็จะเฉื่อยชา ไม่มีความกระตือรือร้น แต่ถ้าหากท่านมีความวิตกกังวลที่มากจนเกินไป ท่านก็อาจจะกลายเป็นคนวิกลจริตได้ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมักเป็นคนที่มีความวิตกกังวลเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าท่านได้รับเชิญไปพูดที่ใดสักแห่ง ทั้งนี้ท่านมีความวิตกกังวลเล็กน้อยว่าสิ่งที่ท่านจะนำไปพูดอาจทำไม่ได้ดี นัก ท่านก็จะมีการเตรียมตัวไปพูดเป็นอย่างดี เมื่อท่านเตรียมตัวไปดี ท่านก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการพูดในครั้งนั้น แต่หากว่าท่านไม่มีความวิตกกังวลเลย ท่านก็จะเป็นคนเฉื่อยชา ไม่มีการเตรียมการพูด พอท่านขึ้นไปพูดท่านก็จะมีโอกาสล้มเหลวได้โดยง่าย ในทางกลับกันถ้าหากท่านวิตกกังวลมากจนเกินไป ก็จะทำให้ท่านนอนไม่หลับและอาจจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายของท่านได้
                3.กล้าเดินหน้าลุย คนธรรมดาสามัญทั่วๆไป ที่มีความคิดดีแต่มักไปไม่ถึงไหน ก็เนื่องมาจากการขาดความกล้าในการทำงาน เมื่อท่านมีความฝัน มีเป้าหมาย มีการวางแผนที่ดี ท่านควรกล้าเดินหน้าลุย ไม่ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่รอความพร้อมที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงลงมือทำ แต่เมื่อเขาเห็นโอกาส มีความพร้อมพอสมควร เขาจึงเริ่มเดินหน้าทันที
                4.ทำในสิ่งที่สวนกระแส พวกเราหลายๆคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นเกษตรกร มักรู้ดีว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มักทำตามกระแส เมื่อเห็นสินค้าใดขายดีก็จะแห่ทำตาม เช่น เห็นคนปลูกไม้สัก เห็นคนปลูกลิ้นจี่ เห็นคนปลูกส้ม ก็แห่กันปลูกจนในที่สุด ราคาพืชผลที่เราปลูกจากราคาขายที่ขายได้ในราคาที่แพงๆ กลับกลายเป็นราคาตกต่ำ ก็เนื่องมาจากมีคนปลูกมากจนเกินไป ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีอยู่เพียงจำนวนน้อย มักมีความคิดในการทำในสิ่งที่สวนกระแส ไม่ทำตามกระแสของคนส่วนใหญ่ หรือ เราอาจจะเคยได้ยินว่านักลงทุนหุ้นที่ประสบความสำเร็จ ควรซื้อหุ้นเมื่อมีคนจำนวนมากต้องการขาย (ก็จะซื้อได้ในราคาถูก) ในขณะเดียวกันควรขายหุ้นในขณะที่มีคนต้องการซื้อจำนวนมาก (ก็จะขายได้ในราคาแพง)
                5.สร้างแรงปรารถนา นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีแรงปรารถนาที่ต้องการได้รับชัยชนะ หากขาดแรงปรารถนา นักกีฬาคนนั้นก็จะไม่มีความกระตือรือร้นในการฝึกซ้อม ขาดระเบียบวินัยในการซ้อม คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีแรงปรารถนาภายในตนเอง ถ้าหากท่านยังขาดแรงปรารถนาในตนเองก็ขอให้ท่านจงสร้างมันขึ้นมาแล้วท่านก็จะ เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
                 6.ระดมคนเก่งๆมาช่วยงาน หากใครเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่องสามก๊ก แล้ววิเคราะห์ก็จะเห็นได้ว่า ก๊กที่มีความเจริญรุ่งเรืองจะเป็นก๊กที่แสวงหาคนเก่งๆเข้ามาช่วยงาน แต่ตรงกันข้ามก๊กที่ถูกยึดหรือก๊กที่ล่มสลาย มักมีคนที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาช่วยงาน ดังนั้นถ้าหากต้องการให้ธุรกิจของท่านเจริญเติบโตก้าวหน้า ท่านจึงควรรีบระดมหาคนเก่งๆมาช่วยงาน ธุรกิจของท่านก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
                7.พัฒนาให้มีความก้าวหน้าในทุกๆวัน บุคคล องค์กร หน่วยงาน ที่ประสบความสำเร็จมักมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าหากว่า บุคคล องค์กร หน่วยงาน ไหนหยุดอยู่กับที่แสดงว่า บุคคล องค์กร หน่วยงาน นั้นจะเกิดความล้าหลังขึ้นมาทันที เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคแห่งการแข่งขัน ถ้าหากว่าเราเพียงแต่กำหนดให้เราต้องพัฒนาให้มีความก้าวหน้าเพียงวันละ 2 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่หนึ่งปีเราจะสามารถพัฒนาตนให้มีความก้าวหน้าไปอีกสักเท่าไร ศักยภาพของท่าน องค์กรท่าน หน่วยงานของท่านก็จะมีอัตราเจริญเติบโตขึ้นทันทีถึง สองเท่า ห้าเท่า สิบเท่า ยี่สิบเท่า ฯลฯ