วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง

หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                สตีฟ จอบส์และบิล เกตส์ ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ลาออกในขณะที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เพราะทั้งคู่รู้ว่าตนเองชอบอะไร , ไทเกอร์ วูดส์ รู้ว่าตนชอบเล่นกีฬาประเภทกอล์ฟ มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ อีกทั้งหยุดการเรียนมหาวิทยาลัยขณะเรียนปีที่ 2 เพื่อออกไปเล่นกอล์ฟเป็นอาชีพ ,  มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ร่วมกับเพื่อนพัฒนา Faecbook ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หลังจากนั้นก็หยุดการเรียนแล้วเป็นผู้บริหารของFaecbook อย่างเต็มตัว
                บุคคลข้างต้นนี้ หยุดเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อออกมาทำในสิ่งที่ตนเองชอบหรือรักและบุคคลที่ประสบ ความสำเร็จอีกมากมายที่ยังไม่เคยมีโอกาสเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าคนที่เรียนในมหาวิทยาลัย ทั้งนี้เพราะเขาเหล่านั้นรู้ว่าตนเองชอบหรือรักอะไร  ดังนั้นหากท่านรู้จักตนเองว่าตนชอบหรือรักอะไร ท่านก็จะประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง
                จงค้นหาสิ่งที่ตนเองรัก ชอบ หรือมีศักยภาพในการทำสิ่งนั้น ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีการลองผิดลองถูก หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอาชีพ ถึงแม้ว่าท่านจะต้องใช้เวลาค้นหาชั่วชีวิตของท่านก็ตาม แต่ยังดีกว่าท่านไม่ได้ค้นหาตัวตนของท่านจริงๆ  ดังเช่นผู้พันแซนเดอร์สค้นหาตัวตนเจอก็ตอนอายุมากแล้วแต่ก็สามารถประสบความ สำเร็จจนโด่งดังไปทั่วโลก
                ผู้พันแซนเดอร์ส แห่ง ไก่ทอด KFC ค้นหาตัวตนเจอตอนอายุ 65 ปี หลังจากทำงานมากมายหลากหลายอาชีพ เช่น ทำงานในฟาร์ม คนขับรถบรรทุก พนักงานขายประกัน  พนักงานดับเพลิง ทหาร แต่ทักษะด้านการทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เขาจึงตัดสินใจทำสูตรไก่ทอดที่อร่อยที่สุดในโลกเมื่อตอนอายุ 65 ปี
                จงอย่าเลือกงานเพราะได้เงินมาก แต่จงเลือกงานที่ท่านรัก ท่านชอบ ท่านมีความเชี่ยวชาญ ถนัดและท่านมีความสุขกับงานนั้น อีกทั้งท่านก็เชื่อมั่นว่าท่านเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น ท่านก็จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
                สำหรับคนที่ไม่รู้จักตนเอง ส่วนมากมักจะล้มเหลวในชีวิตการทำงาน เพราะด้วยความไม่รู้จักตนเอง บางคนไม่มีทางเลือก คนเหล่านี้ต้องก้มหน้าทำงานที่ตนเองไม่ถนัด ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่มีความเชี่ยวชาญ นานตั้งหลายสิบปี รอจนหมดไฟบางคนต้องทนจนกระทั่งจบฉากของชีวิตไป
                คนเรากลัวการเปลี่ยนแปลงแต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง คนเราในโลกนี้มักกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอาชีพในปัจจุบัน หลายคนรู้ตัวว่าตนรักหรือชอบอะไร แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เหตุก็เพราะกลัวสิ่งต่างๆ เช่น กลัวว่าจะไม่มั่นคง กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวความลำบาก ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็จะเป็นได้แค่นักฝัน นักจินตนาการ นักพร่ำบ่น เท่านั้น จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหากท่านต้องการความสำเร็จ

อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน

อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                พวกเราหลายๆคน คงเคยได้อ่านประวัติของบุคคลที่เป็นอัจฉริยะกันบ้างแล้ว ถ้าว่าอัจฉริยะสามารถสร้างกันได้ไหม ได้ครับ หากว่าเราลองไปศึกษาประวัติของบุคคลที่เป็นอัจฉริยะ หลายๆท่านจะทำให้เราเรียนรู้ว่าอัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่านเองและสามารถสร้างกัน ได้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
                1.โทมัส อัลวา เอดิสัน กล่าวว่า “ อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ” ฉะนั้นจากคำกล่าวของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ทำให้เราทราบว่า ความอุตสาหะ พากเพียร ทำให้เกิดความเป็นอัจฉริยะขึ้น ดังเช่น หลวงวิจิตรวาทการได้ทำงานหนักด้วยความอุตสาหะ พากเพียร จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสามารถหลากหลายหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความ เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งได้
                2.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ” บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีจินตนาการสูง บุคคลที่เป็นนักประดิษฐ์คิดค้น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มักจะจินตนาการเห็นภาพของสิ่งต่างๆหรือสินค้านั้นก่อน หลังจากนั้นก็จะลงมือร่างในกระดาษเปล่า แล้วดำเนินการสร้างหรือประดิษฐ์ทันที จินตนาการจึงมีความสำคัญต่อบุคคลที่ต้องการสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ ขึ้นในโลกนี้
                3.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวว่า “ การเป็นผู้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจนมีความเชี่ยวชาญและรู้จักใช้คำพูดที่ดี เหล่านี้คือโชคดี” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอีกผู้หนึ่งที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านเรียนรู้สิ่งที่ท่านสอนผู้คนอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งปฏิบัติจนเกิดความเชี่ยวชาญและยังเป็นบุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นนัก พูดที่เก่งกาจ ทั้งพูดให้ผู้ฟังคิด พูดให้ผู้ฟังเกิดการปฏิบัติตาม หากท่านต้องการเป็นอัจฉริยะบุคคล ท่านควรเรียนรู้สิ่งที่ท่านทำจนให้เกิดความเชี่ยวชาญและควรฝึกฝนการพูดให้ ได้ดี ท่านก็จะประสบความสำเร็จ
                4.แฟรงคลิน ดี.รุสเวลทต์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวนอกจากเจ้าตัวความกลัวเท่านั้น ” บุคคลธรรมดาทั่วโลก มักมีความกลัวต่างๆ มากมายจึงทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทำงานที่ยิ่งใหญ่ ทำงานที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและทำงานที่หนักได้ เช่น กลัวถูกวิจารณ์ กลัวถูกตำหนิ กลัวความไม่มั่นคงปลอดภัย กลัวความตาย กลัวพลัดพลาดจนคนที่เรารัก กลัวเจ็บป่วย กลัวอันตราย กลัวการถูกปฏิเสธ ฯลฯ ฉะนั้นหากท่านมีความกล้ามากขึ้น ท่านลดความกลัวต่างๆให้น้อยลง ท่านจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่ ทำงานที่สร้างสรรค์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น
                5.วอลเทอร์ อีเลียส ดิสนีย์หรือวอลท์ ดิสนีย์ เจ้าของสวนสนุกที่มีชื่อเสียงระดับโลก กล่าวว่า “ หากคุณได้ทำงานที่คุณรัก คุณจะประสบผลสำเร็จที่แท้จริง ” บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นอัจฉริยะบุคคลมักรักในงานที่ตนทำ หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่รักในงานที่ท่านทำแล้วท่านสามารถพัฒนาตนเอง เรียนรู้ ฝึกฝน อดทน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในงานของท่าน ท่านก็สามารถเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
                บุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะทั้ง 5 ท่านที่ได้กระผมได้เขียนไว้ข้างต้น อาจทำให้ท่านผู้อ่านได้แง่คิดและความรู้ในการปรับปรุงพัฒนาตัวท่านเอง ความเป็นอัจฉริยะสามารถ ฝึกฝน เรียนรู้ได้ ด้วยการทุ่มเททำงานอย่างหนัก มีจินตนาการ มีการเรียนรู้ฝึกฝนและการสื่อสารที่ดี มีความกล้าที่จะทำและมีความรักในงานของท่าน ความเป็นอัจฉริยะก็จะอยู่ที่ตัวท่าน

ใช้ความราบรื่นเพิ่มความสุขให้ชีวิต

ใช้ความราบรื่นเพิ่มความสุขให้ชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การหาความสุขให้กับชีวิตตนเอง บางคนคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก บางคนบอกว่าต้องไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ บางคนบอกว่าต้องมีรถมีบ้าน ฯลฯ แต่แท้จริงแล้วเราสามารถเพิ่มความสุขให้ชีวิตของตนเองได้โดยใช้วิธีการง่ายๆ อย่างราบรื่น ดังนี้
                1.หางานอดิเรกทำ อันว่างานอดิเรกคือ งานที่เราพอใจทำ เพื่อความสนุกสนาน มากกว่าคิดถึงค่าตอบแทนทางด้านการเงิน งานอดิเรกยังก่อให้เกิดประโยชน์หลายอย่างเช่น ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ องค์ความรู้ ทำให้รู้จักผู้คนในวงการที่ทำงานอดิเรกเดียวกันมากขึ้น ตัวอย่างงานอดิเรก การอ่านหนังสือ การสะสมสิ่งของต่างๆ การปลูกต้นไม้ การเล่นกีฬา การวาดรูป การเล่นดนตรี ฯลฯ
                2.ดื่มน้ำเปล่าๆดีที่สุด การดื่มน้ำเปล่าจะทำให้เราประหยัดเงินได้มากกว่า การดื่มเครื่องมดื่มต่างๆ เช่น กาแฟ น้ำอัดลม น้ำชา น้ำผสมหัวเชื้อผลไม้หรือสีต่างๆ ฯลฯ เพราะการดื่มน้ำเปล่านั้น ไม่มีคาเฟอีน ไม่มีน้ำตาล ไม่มีสี ไม่มีการอัดแก๊ส ไม่มีการผสมกลิ่น ไม่มีการผสมแอลกอฮอล์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่ออันตรายให้แก่ร่างกายหากว่ารับประทานเป็นจำนวนมากและ ทานประจำติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ การดื่มน้ำเปล่าจึงไม่ก่ออันตรายให้แก่สุขภาพ อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายเรามีความแข็งแรง เป็นปกติอีกด้วย
                3.อ่านหนังสือ การอ่านหนังสือช่วยสร้างความสุขให้กับชีวิตเรา บางคนมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็เพราะเหตุที่ได้อ่านหนังสือเพียง แค่เล่มเดียว การอ่านหนังสือดีๆยังช่วยให้เราเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านมักได้เปรียบกว่าคนที่ไม่มีนิสัยรักการอ่าน เพราะการอ่านหนังสือเหมือนเราได้อ่านประสบการณ์ต่างๆ ของผู้อื่น ซึ่งถ้าหากเราใช้ประสบการณ์ของตนเอง เราต้องเสียเวลาเป็นอันมาก การอ่านหนังสือจึงเป็นทางลัดที่นำตนเองไปสู่ความสำเร็จ
                4.การทำสมาธิ ท่านแทบไม่ต้องใช้เงินเลย เพียงแต่ทำใจให้สงบ การฝึกสมาธิจะช่วยลดความกดดันในตัวเรา ทำให้จิตใจเรามีความโปร่งใส จิตใจมีความเข้มแข็ง และมีกำลังความคิด กำลังใจ ในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ดังนั้นท่านสามารถหาความสุขได้จากการทำสมาธิในสถานที่ต่างๆ เช่น ที่บ้าน ที่สาธารณะ ที่วัด ในรถโดยสารประจำทาง ห้องนอน ฯลฯ
                5.การออกกำลังกาย เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คนเรามีความสุข เพราะเวลาเราออกกำลังกายจะมีสารสุขหรือเอ็นโดฟินส์หลั่ง การออกกำลังยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ทำให้รูปร่างดี ทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ
                6.ทำสวนครัว เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์และความสุข เพียงแต่ท่านพรวนดิน รดน้ำ ปลูกพืช ปลูกผักสวนครัวต่างๆ ก็จะทำให้ท่านเพลิดเพลินไปกับการได้ลงมือทำสวนครัว การทำสวนครัวจะทำให้ท่านได้บริโภคผักผลไม้ที่ไร้สารพิษ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทำให้ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ของท่านก็จะเบิกบานขึ้น
                7.เป็นตัวของตัวเองบ้าง การอยู่ร่วมกันในสังคมแน่นอนว่าความเป็นส่วนตัวหรือความเป็นตัวของตัวเองของ คนเราจะน้อยลง อีกทั้งยังต้องถูกอิทธิพลของคนอื่นครอบงำเราด้วย การหาโอกาสอยู่กับตัวเองหรือการให้เวลาอยู่กับตัวเองจะทำให้เราได้ศึกษา เรียนรู้ ตัวตนของเรามากขึ้น อีกทั้งถ้าหากเรารู้จักตนเองจะทำให้เราเกิดความสุขขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
                8.นอนหลับให้พอเพียง การหาความสุขให้กับตนเองง่ายๆ ด้วยการพักผ่อน การพักผ่อนที่ดีที่สุดและไม่เสียค่าใช้จ่ายคือ การนอนหลับ ท่านควรแบ่งเวลานอนหลับให้พอเพียงกับร่างกายของตนเอง ไม่มากไปหรือน้อยไป ถ้านอนหลับมากไปก็จะทำให้เราเกิดนิสัยขี้เกียจได้ หรือ ถ้าหากน้อยไปก็จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ จากงานศึกษาและวิจัย ช่วงระยะเวลาในการนอนหลับที่เพียงพอจะอยู่ระหว่าง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
                ดังนั้น เราสามารถแสวงหาความสุขได้อย่างเรียบง่าย อีกทั้งยังเสียค่าใช้จ่ายที่น้อย ก็ด้วยวิธีการต่างๆ ข้างต้น การทำงานอดิเรก การดื่มน้ำเปล่า การอ่านหนังสือ การทำสมาธิ การออกกำลังกาย การทำสวนครัว การเป็นตัวของตัวเอง และการนอนหลับให้พอเพียง เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้และก่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา

เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร

เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18  มี 5 สถาน คือ 1.ประหารชีวิต 2.จำคุก 3.กักขัง 4.ปรับ และ 5.ริบทรัพย์สิน หมายเหตุ โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความ ผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี และ ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่ มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษ ดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี
                แต่ถ้าท่านหรือญาติของท่านเป็นคนหนึ่งที่ถูกคดีฟ้องร้องถึงขั้นจำคุก ท่านสามารถรอดคุกรอดตะรางได้ โดยมีปัจจัยที่ทำให้ท่านรอดคุกรอดตะรางดังนี้
-                    หากว่าท่านเป็นจำเลย ถ้าหากพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด ท่านอาจรอดคุกรอดตะรางได้ กระผม
ขออธิบายเพิ่มเติม ในการทำคดีอาญา จะมี 2 ฝ่ายเสมอ คือมีโจทก์เป็นผู้ฟ้อง และมีจำเลยคือผู้ถูกฟ้อง  และการสืบพยานก็มักจะมีพยาน 2 ฝ่าย คือ พยานโจทก์และพยานจำเลย  โดยที่พยานโจทก์จะเบิกความเพื่อกล่าวหาว่าจำเลยมีความผิดและพยานจำเลยก็มัก จะเบิกความว่าจำเลยไม่ผิด ดังนั้น พยานโจทก์จึงมีความสำคัญที่จะทำให้จำเลยติดคุกได้ หากว่าพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด จำเลยก็มีสิทธิหลุดได้  อีกทั้งแนวทางการต่อสู้ของทนายความจำเลยก็มีความสำคัญ กล่าวคือหากทนายความจำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ เพื่อให้พยานโจทก์ตอบให้เกิดความสงสัยได้ยิ่งมากยิ่งดีจะทำให้ศาลมีโอกาสยก ฟ้องได้สูงขึ้น
-                    เด็กมีสิทธิรอดคุกรอดตะรางหรือไม่  มีครับ   ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษพนักงาน สอบสวนส่งตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองเด็ก เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หมายเหตุ : มาตรา 73 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
มาตรา 74 เด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้
(2) ถ้าศาลเห็นว่า บิดา มารดา หรือผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้แก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดซึ่งต้อง ไม่เกินสามปี และกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรซึ่งบิดา มารดา หรือผู้ปกครองจะต้องชำระต่อศาลไม่เกินครั้งละหนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อเด็กนั้นก่อเหตุร้ายขึ้น
-                    ถ้าเด็กนั้นอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่สมควรจะเรียกบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาวางข้อกำหนดดังกล่าวข้างต้น ศาลจะเรียกตัวบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาสอบถามว่า จะยอมรับข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้สำหรับบิดา มารดา หรือผู้ปกครองดังกล่าวมาข้างต้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ยอมรับข้อกำหนดเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลมีคำสั่งมอบตัวเด็กให้แก่บุคคลนั้น ไปโดยวางข้อกำหนดดังกล่าว
(3) ในกรณีที่ศาลมอบตัวเด็กให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ตาม (2) ศาลจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้นเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 56 ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลแต่งตั้งพนักงานคุมประพฤติหรือพนักงานอื่นใดเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น
(4) ถ้าเด็กนั้นไม่มีบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้ หรือถ้าเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และบุคคลนั้นไม่ยอมรับข้อกำหนดดังกล่าวใน (2) ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้อยู่กับบุคคลหรือองค์การที่ศาลเห็นสมควร เพื่อดูแลอบรม และสั่งสอนตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ในเมื่อบุคคลหรือองค์การนั้นยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้ให้บุคคลหรือองค์การนั้นมีอำนาจเช่นผู้ปกครองเฉพาะเพื่อ ดูแล อบรม และสั่งสอน รวมตลอดถึงการกำหนดที่อยู่และการจัดให้เด็กมีงานทำตามสมควร หรือให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นก็ได้ หรือ
(5) ส่งตัวเด็กนั้นไปยังโรงเรียน หรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้นจะมีอายุครบสิบแปดปี
-                    คำสั่งของศาลดังกล่าวใน (2) (3) (4) และ (5) นั้น ถ้าใน ขณะใดภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ศาลโดย ศาลรู้เอง หรือตามคำเสนอของผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือ บุคคลหรือองค์การที่ศาลมอบตัวเด็กเพื่อดูแล อบรมและสั่งสอนหรือ เจ้าพนักงานว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปก็ให้ ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งนั้น หรือมีคำสั่งใหม่ตามอำนาจ ใน มาตรานี้
หมายเหตุ : มาตรา 74 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
สำหรับ เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร กระผมจะทยอยเขียนเป็นตอนๆ เพราะยังมีอีกหลายกรณีที่เราสามารถรอดคุกรอดตะรางซึ่งสามารถทำได้โดยชอบด้วย กฎหมาย เช่น คนบ้ามีสิทธิรอดคุกรอดตะรางได้ , ครอบครัวสามีภรรยาพี่น้องลูกหลานพ่อแม่ทำผิดอาญาต่อกันสามารถรอดคุกรอด ตาราง(ในบางกรณีครับ)  ฯลฯ

ประตูสู่ความมั่งคั่ง

ประตูสู่ความมั่งคั่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                โอกาสแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย ยังเปิดประตูให้แก่คนทุกๆคน ขึ้นอยู่แต่ว่าคนๆนั้นจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องการมันอย่างแท้ จริงหรือไม่ แนวคิดและวิธีการสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวยมีด้วยกันหลายแนวความคิดขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเลือกปฏิบัติอย่างไร เช่น
                1.ต้องเชื่อก่อนว่าเรามีสิทธิร่ำรวยได้ หากว่าเราต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย เรามีความจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดเสียก่อนว่า คนเราเกิดมาในโลกนี้ มีสิทธิที่จะร่ำรวยได้ทุกๆคน มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย จากนักวิชาการหลายต่อหลายท่าน เรื่องของความมั่งคั่ง ร่ำรวย ปัญหาที่ขัดขวางที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยได้สิ่งนั้นก็คือเรื่องของความคิด ความเชื่อ ของตัวเราเอง
                2.หาหนทางช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด การช่วยเหลือผู้อื่นให้มากก็เสมือนหนึ่งว่าเราขยายฐานลูกค้าของตนเอง บุคคลที่เป็นมหาเศรษฐีมักมีแนวความคิดในลักษณะนี้ กล่าวคือทำอย่างไรถึงจะขายหรือบริการลูกค้าได้มากกว่านี้ ทำอย่างไรถึงจะช่วยเหลือลูกค้าได้มากกว่านี้ เช่น วิทยากรให้ความรู้ หากว่ามีแต่งานบรรยายก็สามารถช่วยเหลือคนได้แค่ในห้องฝึกอบรมเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าวิทยากรท่านใดมีความคิดจะช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น เขาก็จะทำเทป ทำหนังสือ จัดรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้คนให้มากขึ้น เมื่อเขาช่วยเหลือผู้อื่นมากๆ ความมั่งคั่งก็จะกลับมาสู่เขาในที่สุด
                3.เพิ่มความมั่งคั่งด้วยปัญญา คนที่มั่งคั่ง มักเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัว เป็นคนที่รู้จักใช้ความคิด อีกทั้งยังเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ฟังวิชาการและอบรมเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รู้จักใช้สิ่งต่างๆ ให้ก่อประโยชน์ในงานของตนเอง เช่น ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน การวิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างถูกต้อง
                4.ค้นหาว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร จงทำให้สิ่งที่ตนเองชอบ แล้วทำมันให้ดีที่สุด แล้วความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก็จะเกิดกับตัวท่าน ไทเกอร์ วูดส์ , เฉินหลง , สตีฟ จอบส์ , บิล เกตส์ ฯลฯ คนเหล่านี้รู้ว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร ความมั่งคั่ง ร่ำรวยจึงเขามาสู่เขาอย่างมากมายมหาศาล จงเลือกทำงานที่ตังเองรักชอบ แล้วท่านก็จะพบกับความสำเร็จ
                5.จงแปลง จินตนาการ ไอเดีย  ความคิด ให้เป็นความมั่งคั่ง ความมั่งคั่งลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา เราสามารถหาได้โดยสร้างจินตนาการ สร้างไอเดีย สร้างความคิด แปลกๆ ใหม่ๆ หากว่าท่านสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ท่านก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างยาวนาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อโซนี่ , บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์  ,  บริษัทไมโครซอฟต์ ฯลฯ   จงแปลง จินตนาการ ไอเดีย ความคิด ลงไปในบนกระดาษแล้วทำมันให้เป็นความจริง
                6.จักรวาลจะให้ความมั่งคั่ง ร่ำรวย แก่ท่านหากว่าท่านได้สร้างคุณสมบัติที่เกินกว่างานที่ท่านทำอยู่ในปัจจุบัน จงทำงานให้เกินกว่าเงินเดือน จงขยัน จงสร้างงาน จงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แล้วจักรวาลทั้งจักรวาลก็จะตอบแทนท่าน กิมย้งนักเขียนชาวจีนที่ร่ำรวย เขาสามารถสร้างรายได้จากงานเขียนของเขา เขาพัฒนางานเขียนของเขาตลอดเวลา งานเขียนของเขาจึงได้พัฒนาขึ้นทุกวันจนในที่สุด เขาจัดอยู่ในขั้นมหาเศรษฐี ผลงานที่เป็นอมตะนิยายเรื่อง มังกรหยก ก็เป็นหนึ่งในผลงานของเขา จงใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาตนเอง ผ่านร้านขายหนังสือมากกว่าการใช้จ่ายผ่านร้านกาแฟ
ดังนั้น หากว่าท่านต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย ประตูสู่ความมั่งคั่งเปิดให้แก่ท่านตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองว่าจะต้องการมันมากน้อยสักเพียงไร จงเชื่อว่าท่านสามารถร่ำรวยได้ จงหาวิถีทางในการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น จงใช้ปัญญา จงค้นหาตัวตนของตนเอง จงแปลงจินตนาการ จงพัฒนางานของท่าน และยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะนำพาท่านสู่ความสำเร็จ
จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ

ล้มได้ก็ลุกได้

ล้มได้ก็ลุกได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                บางช่วงเวลาในชีวิตของคนเรา อาจพบเจอกับอุปสรรค เจอความล้มเหลว เช่น การถูกให้ออกจากงาน ธุรกิจล้มละลาย ความพ่ายแพ้ในเกมส์ต่างๆ เช่น กีฬา การเลือกตั้ง การแข่งขัน ฯลฯ ฉะนั้นถ้าหากท่านเจอสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะ เมื่อมีความสำเร็จก็มักจะมีความล้มเหลว  เมื่อมีคำว่า “ชนะ” ก็ต้องมีคำว่า “พ่ายแพ้”  สิ่งต่างๆย่อมเป็นของคู่กัน
                ล้มได้ก็ลุกขึ้นสู้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตของคนเรา เราจะทำอย่างไรเมื่อเจออุปสรรค เจอความล้มเหลวเหล่านี้ เราจะลุกขึ้นสู้อีกครั้งได้อย่างไร หลายๆคน เกิดอาการเจ็บปวด เกิดอาการท้อแท้ใจ กำลังใจตก ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ทั้งนี้เราสามารถลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่งได้โดยวิธีง่ายๆดังนี้
                1.ควรพูดกับตนเองว่า “ เราทำดีที่สุดแล้ว ” จงคิดให้ได้ว่า บุคคลที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็คือบุคคลที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงแม้เราจะล้มเหลวแต่ก็ยังดีที่ได้ลงมือทำ การล้มครั้งนี้จึงเป็นเสมือนประสบการณ์ บทเรียนที่มีค่าสำหรับความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
                2.เหนื่อยมากก็พักก่อน เมื่อเราทำงานหนัก เมื่อเราต่อสู้ เมื่อเราล้มเหลว หากว่าเรารู้สึกว่าตนเองเหนื่อยมากๆ ก็ขอให้ท่านจงได้หยุดพักก่อน ท่านอาจจะหยุดพักโดยการพักผ่อน นอนหลับ ไปเที่ยว ไปปฏิบัติธรรม ฯลฯ
การหยุดพักไม่ได้หมายถึงว่าเรายอมแพ้ แต่เป็นเสมือนท่านไปชาร์ทแบตเตอรี่ เมื่อท่านได้พักแล้วท่านก็สามารถกลับไปสู้ใหม่ได้อีกครั้งด้วยพลังกาย พลังใจ ที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
                3.กล้าฝันใหม่อีกครั้ง ความฝันทำให้คนเราเกิดความหวัง เมื่อเกิดความล้มเหลว เกิดปัญหาอุปสรรค จงกล้าที่จะฝันใหม่ และจงกล้าที่จะฝันให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อท่านทำธุรกิจล้มละลาย ขอให้ท่านจงกล้าที่จะมีความฝันใหม่อีกครั้ง จงฝันที่จะสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
                4.จงเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วเอาชนะมัน จงวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ผิดพลาด อีกทั้งต้องเรียนรู้วิธีที่จะนำพาสู่ชัยชนะ จากแหล่งต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือ การปรึกษาขอคำแนะนำจากผู้ชนะ การฝึกอบรม การสัมมนา การฟังเทป ฯลฯ
5.จงสร้างเป้าหมาย คิด วางแผน จงคิดแล้วเขียนเป้าหมายและแผนต่างๆ ไว้ในกระดาษ แล้วจงลงมือทำไปที่ละก้าว ทำไปด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ต้องรีบร้อน ใช้ประสบการณ์ที่ล้มเหลว เป็นบทเรียน จงมีความอดทน ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่วางไว้
                6.จงปรับเปลี่ยน ทัศนคติ ความคิดใหม่ ผู้พ่ายแพ้มักมีนิสัยที่คิดลบตลอดเวลา ส่วนผู้ชนะมักคิดบวกอยู่เสมอ จงฝึกคิดบวก จงหัดมองโลกในแง่ดี จงเปิดโอกาสให้ตนเองใหม่อีกครั้งในการกลับไปต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆ  จงกล้าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อย่าไปแคร์กลับคำตำหนิ คำวิจารณ์ของผู้ใด จงเริ่มต้นก้าวอีกครั้งด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
                ฉะนั้น เมื่อท่านเจอปัญหา อุปสรรค เกิดความล้มเหลว หรือ เมื่อท่านล้มลง ท่านจะลุกขึ้นใหม่หรือไม่ลุกขึ้น ก็คงอยู่ที่ตัวท่านเองเป็นด้านหลัก บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะมีบททดสอบอยู่เสมอ
                อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา เปิดร้านขายของชำ เป็นช่างสำรวจ เป็นทหาร เป็นพนักงานไปรษณีย์ เป็นทนายความ ท่านพบกับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งตั้งมากมายหลายครั้ง ท่านพบกับความล้มเหลว มีการเปลี่ยนอาชีพตั้งหลายหน แต่ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้แล้วในที่สุดประวัติศาสตร์โลกก็จารึกชื่อของท่านว่า เป็น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...ท่านก็สามารถทำได้

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...ท่านก็สามารถทำได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                1.เล่นกีฬาที่ตนเองชอบ การเล่นกีฬาจะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้มีสมาธิ ทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งการเล่นกีฬายังสามารถช่วยในการทำธุรกิจได้อีกด้วย เช่น การเล่นกอล์ฟ หลายคนเล่นกอล์ฟเพื่อสร้างเครือข่ายในเชิงธุรกิจ บางคนใช้สนามกอล์ฟเจรจาการค้า บางคนเกิดความคิดใหม่ๆและได้รู้จักคนใหม่ๆในระหว่างเล่นกอล์ฟ
                2.ความวิตกกังวลเล็กน้อยเป็นสิ่งที่ดี  หากว่าท่านเป็นคนที่ไม่มีความวิตกกังวลเลย ชีวิตของท่านก็จะเฉื่อยชา ไม่มีความกระตือรือร้น แต่ถ้าหากท่านมีความวิตกกังวลที่มากจนเกินไป ท่านก็อาจจะกลายเป็นคนวิกลจริตได้ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมักเป็นคนที่มีความวิตกกังวลเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าท่านได้รับเชิญไปพูดที่ใดสักแห่ง ทั้งนี้ท่านมีความวิตกกังวลเล็กน้อยว่าสิ่งที่ท่านจะนำไปพูดอาจทำไม่ได้ดี นัก ท่านก็จะมีการเตรียมตัวไปพูดเป็นอย่างดี เมื่อท่านเตรียมตัวไปดี ท่านก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการพูดในครั้งนั้น แต่หากว่าท่านไม่มีความวิตกกังวลเลย ท่านก็จะเป็นคนเฉื่อยชา ไม่มีการเตรียมการพูด พอท่านขึ้นไปพูดท่านก็จะมีโอกาสล้มเหลวได้โดยง่าย ในทางกลับกันถ้าหากท่านวิตกกังวลมากจนเกินไป ก็จะทำให้ท่านนอนไม่หลับและอาจจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายของท่านได้
                3.กล้าเดินหน้าลุย คนธรรมดาสามัญทั่วๆไป ที่มีความคิดดีแต่มักไปไม่ถึงไหน ก็เนื่องมาจากการขาดความกล้าในการทำงาน เมื่อท่านมีความฝัน มีเป้าหมาย มีการวางแผนที่ดี ท่านควรกล้าเดินหน้าลุย ไม่ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่รอความพร้อมที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงลงมือทำ แต่เมื่อเขาเห็นโอกาส มีความพร้อมพอสมควร เขาจึงเริ่มเดินหน้าทันที
                4.ทำในสิ่งที่สวนกระแส พวกเราหลายๆคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นเกษตรกร มักรู้ดีว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มักทำตามกระแส เมื่อเห็นสินค้าใดขายดีก็จะแห่ทำตาม เช่น เห็นคนปลูกไม้สัก เห็นคนปลูกลิ้นจี่ เห็นคนปลูกส้ม ก็แห่กันปลูกจนในที่สุด ราคาพืชผลที่เราปลูกจากราคาขายที่ขายได้ในราคาที่แพงๆ กลับกลายเป็นราคาตกต่ำ ก็เนื่องมาจากมีคนปลูกมากจนเกินไป ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีอยู่เพียงจำนวนน้อย มักมีความคิดในการทำในสิ่งที่สวนกระแส ไม่ทำตามกระแสของคนส่วนใหญ่ หรือ เราอาจจะเคยได้ยินว่านักลงทุนหุ้นที่ประสบความสำเร็จ ควรซื้อหุ้นเมื่อมีคนจำนวนมากต้องการขาย (ก็จะซื้อได้ในราคาถูก) ในขณะเดียวกันควรขายหุ้นในขณะที่มีคนต้องการซื้อจำนวนมาก (ก็จะขายได้ในราคาแพง)
                5.สร้างแรงปรารถนา นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีแรงปรารถนาที่ต้องการได้รับชัยชนะ หากขาดแรงปรารถนา นักกีฬาคนนั้นก็จะไม่มีความกระตือรือร้นในการฝึกซ้อม ขาดระเบียบวินัยในการซ้อม คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีแรงปรารถนาภายในตนเอง ถ้าหากท่านยังขาดแรงปรารถนาในตนเองก็ขอให้ท่านจงสร้างมันขึ้นมาแล้วท่านก็จะ เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
                 6.ระดมคนเก่งๆมาช่วยงาน หากใครเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่องสามก๊ก แล้ววิเคราะห์ก็จะเห็นได้ว่า ก๊กที่มีความเจริญรุ่งเรืองจะเป็นก๊กที่แสวงหาคนเก่งๆเข้ามาช่วยงาน แต่ตรงกันข้ามก๊กที่ถูกยึดหรือก๊กที่ล่มสลาย มักมีคนที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาช่วยงาน ดังนั้นถ้าหากต้องการให้ธุรกิจของท่านเจริญเติบโตก้าวหน้า ท่านจึงควรรีบระดมหาคนเก่งๆมาช่วยงาน ธุรกิจของท่านก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
                7.พัฒนาให้มีความก้าวหน้าในทุกๆวัน บุคคล องค์กร หน่วยงาน ที่ประสบความสำเร็จมักมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าหากว่า บุคคล องค์กร หน่วยงาน ไหนหยุดอยู่กับที่แสดงว่า บุคคล องค์กร หน่วยงาน นั้นจะเกิดความล้าหลังขึ้นมาทันที เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคแห่งการแข่งขัน ถ้าหากว่าเราเพียงแต่กำหนดให้เราต้องพัฒนาให้มีความก้าวหน้าเพียงวันละ 2 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่หนึ่งปีเราจะสามารถพัฒนาตนให้มีความก้าวหน้าไปอีกสักเท่าไร ศักยภาพของท่าน องค์กรท่าน หน่วยงานของท่านก็จะมีอัตราเจริญเติบโตขึ้นทันทีถึง สองเท่า ห้าเท่า สิบเท่า ยี่สิบเท่า ฯลฯ

หัวใจนักปราชญ์

หัวใจนักปราชญ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                เมื่อเอ๋ยคำว่า “ หัวใจนักปราชญ์ ” หลายๆท่านมักนึกถึงคำว่า สุจิปุลิ
สุ             ย่อมาจาก                                สุตต        คือ การฟัง
จิ              ย่อมาจาก                                จินตน     คือ การคิด
ปุ             ย่อมาจาก                                ปุจฉา      คือ การถาม
ลิ             ย่อมาจาก                                ลิขิต        คือ การเขียน
                สุ-สุตตหรือการฟัง จะทำให้เราได้รับความรู้ ข้อมูล แง่มุม ความคิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง บุคคลที่เป็นนักปราชญ์ มักจะเป็นคนที่ฟังมาก อ่านมาก แต่เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลจึงมีมากมาย ฉะนั้น บุคคลที่ได้ชื่อว่านักปราชญ์มักจะเป็นคนที่มีการคัดเลือกข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวมมาฟัง มาอ่าน มาศึกษาค้นคว้าเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในตนเอง
                จิ-จินตนหรือการคิด การคิดมีความสำคัญมาก เมื่อได้รับข้อมูล จากการฟังและการอ่านแล้ว แต่คนๆนั้นไม่สามารถมีความคิดเป็นของตนเองได้  ได้แต่นำความคิดของบุคคลอื่นมาใช้ก็เปล่าประโยชน์ คนที่คิดไม่เป็นมักเป็นคนเชื่อคนง่าย ถูกหลอกได้ง่ายกว่าคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง
                ปุ-ปุจฉาหรือการถาม เมื่อเกิดความสงสัย เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ จึงต้องถาม แต่สังคมไทยมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่มาก เด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากมักไม่กล้าถาม อาจเป็นเพราะ อายเพื่อน กลัวครู อาจารย์  ความไม่กล้า ฯลฯ แต่แท้ที่จริงแล้ว การถามจะทำให้เราได้รับความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้เพิ่มขึ้นอีกมาก
                ลิ-ลิขิตหรือการเขียน  การเขียนมีประโยชน์หลายอย่าง การเขียนช่วยให้การคิดเป็นระบบขึ้น เพราะก่อนที่เราจะเขียนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ เรียงความ จดหมาย สารคดี นิยาย ฯลฯ เราจะต้องมีการคิดขึ้นมาก่อน ฉะนั้นการเขียนจึงเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาความคิดต่างๆของคนเราได้มาก อีกทั้งการเขียนยังช่วยพัฒนาความจำของคนเราด้วย  “ จำดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด ให้จดแล้วค่อยจำ” เป็นคำพูดที่เป็นความจริงมากทีเดียว เช่น ตอนเราเรียนหนังสือ หากว่าครู สอนที่หน้าชั้นในห้องเรียน หากเราไม่ยอมจดหรือเขียน จะใช้วิธีจำอย่างเดียว ก็อาจจะจำไม่ได้ทั้งหมด แต่คนที่มีหัวใจนักปราชญ์ เขาจะจดแล้วนำมาทบทวนอีกครั้ง เขาถึงสอบได้คะแนนมากกว่าคนที่ไม่ยอมจดหรือเขียน
                ดังนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ทั้ง 4 ข้อ คือ สุจิปุลิ ท่านสามารถปฏิบัติได้ไม่ยาก ถึงแม้ท่านจะไม่ใช่นักปราชญ์ แต่กระผมเชื่อว่าชีวิตของท่านจะมีการพัฒนาไปได้เป็นอันมาก จงใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนา แล้วไม่แน่ในอนาคต ท่านอาจจะได้ชื่อว่าเป็น นักปราชญ์ที่มีผู้คนยกย่องคนหนึ่งก็ได้
ฟังให้มาก คิดให้เป็น หมั่นสอบถามและฝึกการเขียน จึงเป็นหัวใจของนักปราชญ์อย่างแท้จริง

ผิดเป็นครู

ผิดเป็นครู
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                “  ผิดเป็นครู ”  เป็นคำพูดของคนโบราณที่ใช้ในการสอนคน คนเราทุกๆคน สามารถทำผิดพลาดกันได้ ฉะนั้นความผิดที่เกิดขึ้นหากใครสามารถนำมาใช้เป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์หรือสอนเตือนใจตนได้ ก็จะเป็นครูที่ดี
                ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำผิดพลาด คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยคือคนที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เมื่อเราผิดพลาด เราจะยอมรับความผิดพลาดนั้นได้ไหม โง่ย่อมต้องมาก่อนฉลาด หลายๆคนคงเคยถูกหลอก จากคนที่ชอบโกง ชอบเอารัดเอาเปรียบ หากว่าเราเอาแต่โทษตัวเองหรือโกรธแค้น ความโกรธแค้นนั้นก็จะมาทำลายจิตใจของเรา
                จงให้อภัยกับความผิดพลาด การให้อภัยกับความผิดพลาดก็คือการให้อภัยตัวเราเอง จะมีประโยชน์อะไร ที่มัวแต่ทำลายตนเอง ด้วยการคิดทบทวนซ้ำซากกับความผิดพลาดที่ได้เกิดขึ้น คนอื่นๆที่ทำให้เราเกิดความผิดพลาดเขาอาจลืมไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเหลือแต่เราที่ยังจำ จงให้อภัยตนเองและให้อภัยผู้อื่น
                ปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ได้มีไว้ให้แบก ทุกปัญหามีทางแก้แต่ถ้าหากปัญหาไหนยังไม่มีทางแก้ ก็ต้องปล่อยมันไป อย่าไปมีความทุกข์กับปัญหา จนก่อให้เกิดความไม่สบายใจ อย่ามัวเศร้าโศกกับปัญหา จงมองปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติ จงใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาและไม่ควรทำปัญหาเล็กๆให้เป็นปัญหาใหญ่
                จงกล้ากล่าวคำ “ขอโทษ” หากว่าท่านทำผิดกับผู้อื่น ในช่วงเวลาของคนเราอาจเคยกระทำผิดพลาดต่อผู้อื่นไม่ว่าเรื่องของการทำงาน การดำเนินชีวิต สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งก็คือ เราควรกล่าวคำ “ ขอโทษ ” หากรู้ว่าตนทำผิด การขอโทษจะทำให้ผู้อื่นให้อภัยในความกล้าหาญของเรา อีกทั้งยังจะยินยอมช่วยเหลือและให้โอกาสเราอีกครั้ง
                ความผิดพลาดล้มเหลวก่อให้เกิดการประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จมักเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดล้มเหลวมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครผู้ใดเลยที่ไม่เคยทำผิดพลาดล้มเหลว จงเปลี่ยนความคิด จงอย่าเสียใจมากเกินไปในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แต่จงปลุกพลังภายในตัวเองให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่อีกครั้ง หากคิดลบชีวิตก็มักจะตกต่ำลง แต่หากคิดบวกชีวิตก็จะพัฒนาขึ้นเจริญเติบโตขึ้น       
                จงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส หากว่าคุณเบื่องานแบบสุดๆแต่ต้องทนอยู่ แล้วในที่สุดคุณถูกให้ออกจากงาน จงกระโดดโลดเต้นดีใจที่เราจะได้มีโอกาสได้ทำงานที่เราชอบ , เมื่อถูกคนรักทิ้ง เราก็ต้องดีใจที่เราได้มีโอกาสเป็นอิสระและในอนาคตเราจะได้เจอคนที่ดีๆ เข้าใจเรา  ฯลฯ
                ดังนั้น สิ่งที่มีความสำคัญที่สุด สำหรับการแก้ไขความผิดพลาดล้มเหลว สิ่งนั้นก็คือตัวของคุณเอง คุณสามารถนำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นประโยชน์ให้แก่ตัวเองได้ อีกทั้งเมื่อเจอความผิดพลาดล้มเหลว บางคนเสียใจ ซ้ำเติมตัวเอง จงเปลี่ยนแปลงทัศนคติเสียใหม่ ว่าคนเราย่อมต้องเกิดความผิดพลาดเป็นสิ่งธรรมดา
จงเอาความผิดพลาดของตนเอง มาเป็นครูและจงเอาความผิดพลาดของผู้อื่น มาเป็นครู แล้วท่านจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

นตอนสู่ความสำเร็จ โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                1.กำหนดเป้าหมายว่าคุณต้องการอะไรอย่างแท้จริง ตัดสินใจให้แน่นอนว่าเราต้องการจะทำอะไร จะเป็นอะไร เช่น อยากทำธุรกิจขายอาหาร อยากเปิดร้านซักอบรีด อยากเป็นนักเขียน อยากเป็นนักการเมือง ฯลฯ จงกำหนดเป้าหมายแบบเจาะจง ไม่ใช่แบบคนจับจด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่มีความแน่นอน เพราะไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำสิ่งหนึ่งแล้วไม่สำเร็จ แล้วเปลี่ยนมาทำสิ่งอื่นไปเรื่อยๆ แล้วประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ทั้งนี้อาจเป็นความสำเร็จเพียงชั่วคราว ดังนั้น หากกำหนดทิศทางของตนเองได้ จงมุมานะไปให้ตลอดรอดฝั่ง
                2.เขียนลงไปในกระดาษ จงเขียนเป้าหมายของท่านลงไปในกระดาษโดยละเอียด การเขียนลงในกระดาษจะทำให้การกำหนดเป้าหมายของเราเกิดความชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังทำให้เกิดพลัง จงเขียนละเอียดต่างๆ ลงไป เช่น เป้าหมาย แผนการ
ขั้นตอน กลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
                3.กำหนดวันเวลาเส้นตายที่จะนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง เช่น เป้าหมายใหญ่เราจะใช้ระยะเวลากี่ปี เป้าหมายขนาดกลางเราจะใช้เวลากี่ปี เป้าหมายระยะสั้นเราจะใช้เวลาเท่าไร กำหนด วัน เดือน ปี ให้มีความแน่นอน จงอย่าได้ลงมือทำไปตามยถากรรมและปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยที่ยังไม่มีการกำหนด ระยะเวลา
                4.ลงมือทำทันทีหรือททท. ขั้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากว่าท่านมีเป้าหมาย เขียนแผนการต่างๆลงในกระดาษ มีการกำหนดระยะเวลาเส้นตายแล้ว แต่ขาดการลงมือทำสิ่งต่างๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ สำหรับการลงมือทำ
ท่านควรลงมือทำอย่างเต็มที่ อย่างสุดกำลัง อย่างกระตือรือร้น
                5.มีการตรวจสอบ ควบคุม ประเมินผล เป็นระยะๆ  เมื่อเราได้ลงมือทำ สถานการณ์ต่างๆ อาจไม่เอื้ออำนวย สิ่งต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราควรมีการตรวจสอบ ควบคุม ประเมินผล เพื่อที่จะสามารถปรับทิศทางหรือปรับแผนของเราได้ การประเมิลผล ควรกำหนดเป็นระยะยาว ระยะกลางและระยะสั้น ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้
                เราทุกคนสามารถประสบความสำเร็จเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จได้เพียงด้วย ขั้นตอนง่ายๆ โดยการกำหนดเป้าหมาย เขียนเป้าหมายลงในกระดาษ เขียนแผนการ อย่างละเอียด กำหนดวันเวลาเส้นตายที่แน่นอน ลงมือทำทันทีและการตรวจสอบ ควบคุม ประเมินผล  หากท่านปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จอย่างแรงกล้า ไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ วันมะเรื่องนี้ แต่จงลงมือทำตั้งแต่ ตอนนี้หรือเดี๋ยวนี้

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                แลอดีต....  เมื่อเหลียวหลังไปดูอดีต หลายๆคนมักเสียใจว่า สิ่งที่เราอยากทำหรือควรทำน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ทำไมเราถึงไม่ทำ เช่น การเรียน บางคนเสียใจว่า ทำไมตอนเด็กๆเราน่าจะตั้งใจเรียนกว่านี้ หากตั้งใจตอนนี้ชีวิตของเราคงเจริญก้าวหน้ามากกว่าปัจจุบัน
                อยู่กับปัจจุบัน.... แต่เราก็ไม่ สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในอดีตได้อีกแล้ว เพราะสิ่งใดในชีวิตคนเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก จงอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน จงใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ อย่าได้เสียใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่จงนำประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีในอดีต นำมาเป็นบทเรียนต่อไป
                ล้มได้ก็ลุกได้....คนเราทุกคนในโลกนี้ เกิดมาแล้วย่อมต้องพบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ นานา  ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเงินทอง ปัญหาการทำงาน ปัญหาความรัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ บางคนยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหา บางคนยอมรับกับความผิดหวัง ความล้มเหลว แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเขาพบกับความล้มเหลว เขาจะลุกขึ้นสู้อีกครับ
                พ่ายแพ้ชั่วคราว... คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เขามักมีความเข้าใจปรัชญาของคำว่า “ การพ่ายแพ้ชั่วคราว”
การพ่ายแพ้มักไม่สามารถทำให้เราจบสิ้น แต่ความล้มเลิกต่างหากที่ทำให้คนเราจบสิ้น จงกระโดดโลดเต้นดีใจแล้วร้องว่า “ความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้า” แล้วเริ่มต้นต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
                จงกำหนดชีวิตของเราด้วยตัวตนของเราเอง....ไม่ มีใครที่จะกำหนดชีวิตของเราหรือรู้จักตัวตนของเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จงกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง อย่าให้ใครมาเป็นผู้กำหนด คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้มีชีวิตให้คนอื่นใช้ ชีวิตจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นสำคัญ
                เดินต่อไป...... คนเราเปลี่ยนแปลง เรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ จงก้าวเดินต่อไป จงหาเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่บัดนี้ จงจับจ้องที่เป้าหมาย ไม่ใช่จับจ้องที่อุปสรรค แล้วชีวิตของท่านก็จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีความสุข เพราะโลกทั้งโลกมักเปิดทางให้กับคนที่รู้ตัวว่าเขาจะเดินทางไปในทิศทางใด ขอให้ท่านจงเดินไปข้างหน้า ระยะทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ
                 ถ้าไม่กล้า...ก็ไม่มีวันเดินหน้า.... คนเราเมื่อไม่กล้าที่จะทำอะไร ก็ไม่ควรหวังว่าจะได้อะไร จงกล้าที่จะไปตามหาความฝันของตนเองตามเส้นทางเดินของตนเอง ถึงแม้คนรอบข้างของเราจะคัดค้าน ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ไม่มีการสนับสนุน ก็ตาม จงก้าวเดินไปสู่ความฝันอย่างมั่นใจ จงเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและตนเองถนัด แต่ถ้าหากท่านยังหาสิ่งที่ใช่อาชีพที่ใช่ยังไม่เจอ จงหามันต่อไป แล้วจงกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป อย่าได้หวั่นไหวกับอุปสรรคต่างๆ

คำคม คำพูด ข้อคิดนักพูด

คำคม คำพูด ข้อคิดนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                คำคม คำพูด ข้อคิดของบรรดานักพูด มีความสำคัญมากต่อบรรดาผู้ที่ต้องการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดต่อ หน้าที่ชุมชน เพราะ คำคม คำพูด ข้อคิด มักเป็นคำสั้นๆ เข้าใจง่าย แต่กินใจความสำคัญ กระผมจึงขออนุญาตนำ คำคม คำพูด ข้อคิดของบรรดานักพูด มาเขียนและขยายความให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
                “ถ้าท่านลุกขึ้นยืนพูดต่อหน้าที่ฝูงชนไม่ได้ อย่าปรารถนาเป็นผู้นำ” เป็นคำพูดของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีความเป็นจริงอยู่มากทีเดียว เนื่องจาก ผู้นำในระดับประเทศหรือระดับโลก มักจะต้องเป็นนักพูด อีกทั้งยังต้องทำงานโดยใช้คำพูดมากกว่าการใช้แรงกาย คนที่ต้องการเป็นผู้นำจึงต้องมีการฝึกฝนการพูด เพราะถ้าหากท่านมีความคิดที่ดีๆ อีกทั้งยังต้องมีการนำเสนอความคิดนั้น แต่ท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดแสดงความคิดเห็นให้ผู้คนเข้าใจต่อหน้าที่ฝูงชน ได้ ผู้คนก็คงไม่เคารพนับถือท่าน และคงไม่เลือกท่านให้เป็นผู้นำของเขา
                “ทุกคนพูดได้ แต่มีบางคนเท่านั้นที่พูดเป็น” เป็นคำพูดของ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ คนเราเกิดมาทุกคน หากไม่เป็นใบ้ ก็สามารถพูดจาภาษาต่างๆได้ แต่คนทุกคนไม่สามารถ พูดแล้วทำให้คนอื่นชื่นชอบ พูดแล้วคนเชื่อ พูดแล้วคนเข้าใจ พูดแล้วได้รับประโยชน์จากการพูดของตนเองได้ทุกคน แต่มีบางคนเท่านั้นที่สามารถทำได้ ดังนั้น หากท่านต้องการพูดเป็นท่านจึงต้องมีเรียนรู้ พัฒนาทักษะการพูดของท่านอยู่เสมอ
                “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” เป็นข้อคิดในบทกลอนของสุนทรภู่ในเรื่อง นิราศภูเขาทอง จากบทกลอนดังกล่าวทำให้เราทราบว่า คำพูดของคนเราสามารถพูดไปแล้วทำให้คนรักคนชอบก็ได้ ทำให้คนเกลียดกันก็ได้ บางคนถึงขั้นต้องเสียชีวิตด้วยก็เพราะเหตุคำพูดของตนเอง นี่คืออนุภาพของการพูดของคนเรา
                “คนพูดดี คือ คนที่รู้จัก 1.พูดความจริง 2.พูดมีสาระ3.พูดถูกกาลเทศะ”เป็นคนสอนของพระพุทธเจ้า เราจะเห็นได้ว่าคนที่พูดแล้วคนชอบ คนรัก คนศรัทธา มักเป็นคนที่มีลักษณะของการพูดความจริง พูดในสิ่งที่มีประโยชน์ และพูดได้ถูกสถานการณ์  หากท่านสามารถพูดเช่นนี้ได้ ท่านก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนพูดดี
                “ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด แต่หลังพูดคำพูดเป็นนายเรา” เป็นคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีของท่าน พลเอกชายชาติ ชุณหะวัณ คำพูดของคนเราก่อนจะพูดออกไปเราสามารถบังคับควบคุมมันได้ว่าจะพูดหรือไม่พูด แต่พอพูดออกไปแล้ว  คำพูดนั้นจะผูกมัดเรา โดยเฉพาะคำพูดของผู้นำประเทศ ถ้าหากว่าได้สัญญากับประชาชนในเรื่องอะไร ก็ย่อมต้องทำตามสิ่งที่ตนเองได้พูดไว้ มิเช่นนั้น ประชาชนก็จะไม่มีความเชื่อถือ ความเคารพ ศรัทธา ตัวผู้นำคนนั้นได้
                “ลิ้นเพียง 2 นิ้ว ขงเบ้งสามารถยกเมืองให้แก่เล่าปี่ได้” เป็นแง่คิด คำพูดในหนังสือ สามก๊ก ของชาวจีน ในเนื้อเรื่องเราจะเห็นความสามารถของขงเบ้งในเชิงการพูด เนื่องจากขงเบ้งสามารถพูดยั่วยุ พูดให้กำลังใจคน พูดโดยใช้ชั้นเชิงทางการทูต เพื่อเจรจาต่อรองหรือใช้ความสามารถทางการพูดยกเมืองให้กับเจ้านายคือเล่าปี่ ได้ โดยไม่ต้องออกรบให้เสียกำลังพล นี่คืออนุภาพของการพูด
                ทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของคำพูด คำคม ข้อคิดของบรรดานักพูด ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า คำพูดของคนเรามีความสำคัญ คำพูดสามารถนำพาให้เราเป็นผู้นำได้ คำพูดสามารถทำให้คนชื่นชอบได้และคำพูดสามารถสร้างความศรัทธาได้ แต่ในทางกลับกัน คำพูดสามารถทำให้คนเกลียดได้ คำพูดสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้และคำพูดสามารถทำลายเราให้เกิดความล่มจมและ เกิดความเสื่อมได้เช่นกัน

อ่านหนังสือได้เร็วชีวิตพัฒนาขึ้น

อ่านหนังสือได้เร็วชีวิตพัฒนาขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การอ่านมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการพัฒนาตนเอง ถ้าอยากประสบความสำเร็จจงรักการอ่าน แต่ในยุคปัจจุบัน เป็นยุคแห่งการแข่งขัน การเร่งรีบ สังคมโลกเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ เรามีหนังสือ มีเอกสารต่างๆ มากมาย ใครที่อ่านหนังสือได้เร็วจึงได้เปรียบกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้ากว่า
                การอ่านหนังสือได้เร็วช่วยพัฒนาตัวเราได้หลายอย่างและมีประโยชน์ต่อตัวเรา เช่น
                1.ช่วยประหยัดเวลา มีคนเป็นจำนวนมากที่ขาดทักษะการเรียนรู้ เทคนิคในการอ่านหนังสือเร็ว คนเหล่านี้มักจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงหรือหลายๆชั่วโมงในการอ่านหนังสือพิมพ์ เพียงแค่เล่มเดียว แต่ถ้าหากท่านมีทักษะและพัฒนาการอ่านของท่านให้เร็วกว่าปกติ ท่านสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้เป็นจำนวนที่มากขึ้นแต่ใช้เวลาอ่านในจำนวนที่ เท่ากัน หรือ การอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นจะทำให้ท่านมีเวลาที่เพิ่มขึ้นและสามารถนำเวลา เหล่านั้นไปอ่านหนังสือได้อีกเป็นจำนวนมาก
                2 ช่วยพัฒนาสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้มันสมองของเราได้รับการฝึกฝน ได้คิด ได้ออกกำลังแต่เป็นการออกกำลังสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้คลื่นสมองของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น
                3.ช่วยพัฒนาการพูด ความสามารถในการพูดมักเกิดจากความคิดที่ดี และการที่คนเราจะมีความคิดที่ดี เกิดจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของประสบการณ์ การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ การอ่านหนังสือก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดความคิดที่กว้างไกล ทันสมัย รอบรู้ การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสาร ความรู้ที่มากขึ้นกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้า
                4.ช่วยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นักบริหาร นักธุรกิจ นักเขียน  มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาการอ่านให้อ่านได้เร็วขึ้น หากท่านเป็นนักบริหาร นักธุรกิจ ในยุคปัจจุบัน ท่านจะต้องพบกับแฟ้มเอกสารต่างๆ ที่มีมากมาย หากท่านอ่านหนังสือได้ช้า ก็จะทำให้การทำงานของท่านช้าไปด้วย แต่ตรงกันข้ามหากท่านอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะได้อ่านจดหมาย เอกสาร หนังสือต่างๆได้ไวขึ้น แล้วจะทำให้การทำงานของท่านรวดเร็ว ผู้ที่เป็นนักเขียนก็เช่นกัน การจะเขียนได้ต้องมีข้อมูล และข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะมาจากการอ่านหนังสือ หากอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะมีข้อมูลที่มากขึ้น
                5.ช่วยให้สอบผ่านและได้คะแนนดี การอ่านหนังสือเร็วจะช่วยในการเรียนหนังสือได้เป็นอันมาก เนื่องจากการเรียนจะต้องเรียนหลากหลายวิชา อีกทั้งบางวิชา ครู อาจารย์ ยังต้องให้มีการอ่านหนังสือเสริมหรือหนังสือภายนอกเพื่อใช้ในการสอบอีกด้วย การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้ท่านอ่านหนังสือได้ทันตามเวลาที่ ครู อาจารย์ กำหนด
                6.ช่วยให้ได้รับความบันเทิง หลายท่านเมื่อได้เห็นหนังสือนิยาย หนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือกำลังภายในจีน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหนาอีกทั้งมีจำนวนหน้าที่มีมาก หากอ่านช้าคงต้องเสียเวลาหลายวัน อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าหนังสือเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่หากท่านอ่านได้เร็ว ท่านสามารถได้รับความบันเทิงจากการอ่านหนังสือได้หลายเรื่องในช่วงระยะเวลา ที่มีจำกัด
                ทั้งหมดข้างต้น คือประโยชน์ของการอ่านหนังสือได้เร็ว แต่การอ่านหนังสือได้เร็ว กระผมไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือแบบลวกๆ เมื่ออ่านเสร็จแล้วจำอะไรไม่ได้ แต่ตรงกันข้าม หากอ่านจบเราสามารถสรุปเนื้อหาและทราบเรื่องราวต่างๆ ได้เหมือนกับการอ่านปกติ เมื่อท่านอ่านหนังสือได้เร็วแล้วท่านลองทดสอบโดยการถามคำถามในเรื่องราวที่ ท่านได้อ่านเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้อ่านมากน้อย เพียงใด
ลองถกกับหนังสือที่ท่านอ่าน แล้วจะทำให้ท่านเกิดการพัฒนาการอ่านของท่านได้ดียิ่งขึ้น

จงกระตุ้นตัวเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น

จงกระตุ้นตัวเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การจะเป็นผู้นำผู้อื่นและทำให้ผู้อื่น เกิดความศรัทธา เชื่อถือ ปฏิบัติตาม ผู้นำคนนั้นจะต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ ซึ่งคุณสมบัติต่างๆที่ผู้นำมีเพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเอง เมื่อผู้นำกระตุ้นตนเองแล้วก็จะส่งผลเพื่อเป็นการกระตุ้นผู้อื่นหรือผู้ตาม ไปในตัว สิ่งที่ผู้นำควรกระตุ้นตนเองมีดังนี้
                1.การตัดสินแน่วแน่ว่าตนต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร แล้วสามารถอธิบายให้ผู้ตามล่วงรู้ได้ ก็จะทำให้ผู้ตามเกิดความศรัทธา เกิดแรงกระตุ้น อยากที่จะช่วยเหลือ สนับสนุนให้ผู้นำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ การสร้างเป้าหมายแล้วตัดสินใจแน่วแน่และมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายจะเป็นแม่ เหล็กดึงดูดใจให้ทั้งผู้นำและผู้ตาม มีทิศทางเดียวกัน เช่น ผู้นำตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะขยายกิจการและมีเป้าหมายในการทำธุรกิจให้ได้ 100 ล้านบาท ภายในปีหน้า เป็นต้น
                2.ความเชื่อมั่นในตนเอง ของผู้นำจะทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่นในตนเองได้ แต่ถ้าหากผู้นำเกิดลังเล จับจด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็จะทำให้ผู้ตามเกิดความสับสนและมองภาพลักษณ์ว่าผู้นำไม่มีความเด็ดขาด ผู้นำอ่อนแอ ไม่กล้าหาญ หากผู้นำสามารถกระตุ้นตนเองให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าตนสามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน แรงกระตุ้นนั้นก็ส่งผลไปยังผู้ตามกล่าวคือทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่นในตน เองว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ทีมงานไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
                3.เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเองและผู้อื่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ของผู้นำมีความสำคัญก็จริงอยู่ แต่การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ การที่ผู้นำจะสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่นั้น ผู้นำจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นให้ได้เสียก่อน เขาจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง จงสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นแก่ตนเองเพื่อไปกระตุ้นแรงบันดาลของผู้ตาม
                4.จงกล้าที่จะเสี่ยง ผู้นำที่ไม่กล้าตัดสินใจ ผู้นำที่คอยระมัดระวังตัวและผู้นำที่ระแวงลูกน้องตลอดเวลา มักทำให้ลูกน้องไม่กล้าที่จะริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในงาน ตรงกันข้ามกับผู้นำที่กล้าที่จะเสี่ยง ย่อมกระตุ้นให้ทีมงานเกิดความกล้าทดลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆและเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นภายในบริษัทหรือองค์กร ดังนั้นผู้นำจึงควรกล้าที่จะเสี่ยงเพราะการกล้าเสี่ยงของผู้นำจะเป็นการ กระตุ้นให้ลูกน้องมีความกล้าหาญในการทำงานมากยิ่งขึ้น
                5.จงสนุกกับชีวิต พวกเราลองคิดดูว่าคุณต้องการผู้นำในลักษณะใด เช่น ผู้นำที่มีลักษณะเป็นคนขี้บ่น เป็นคนอมทุกข์ เป็นคนหดหู่ หรือ ผู้นำที่มีลักษณะ ร่าเริง แจ่มใส มีความสนุกตื่นเต้น กระตือรือร้นในการทำงาน ดังนั้น หากผู้นำแสดงให้ผู้ตามเห็นว่า ตนมีความสนุกกับการทำงานและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับถูกไฟเผา ผู้ตามก็จะรู้สึกถึงอารมณ์ การแสดงออกต่างๆของผู้นำได้
                ดังนั้น การแสดงออก อารมณ์ ความรู้สึก สิ่งต่างๆที่ผู้นำกระทำจึงเป็นสิ่งที่มีผลกระทบไปยังความรู้สึก นึกคิด อารมณ์ต่างๆของผู้ตามอีกด้วย ดังนั้นผู้นำที่ดี ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเป็นผู้นำที่สามารถกระตุ้นตนเองได้ เมื่อผู้นำสามารถกระตุ้นตนเองผู้นำคนนั้นก็จะสามารถกระตุ้นผู้อื่นได้ จงกระตุ้นตนเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น

จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก

จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย อยากรู้ ว่าทำไมบุคคลที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จ กระผมจึงได้ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือ ตำรา ต่างๆมากมาย จึงทำให้ทราบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่าง หนึ่งก็คือ เขามักจะรักในสิ่งที่เขาทำและจะทำในสิ่งที่เขารัก
                นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่ง เขาเคยรู้สึกสับสนตนเอง เนื่องจากงานเพลงที่เขาแต่งมักเกิดจากการจ้างวานหรือคนเสนอให้เขาเขียนเพลง แนวนั้นแนวนี้ จนเขารู้สึกว่า เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ในงานเพลงนั้นๆ ทำให้การใช้ภาษา การสื่ออารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนในที่สุด เขาตัดสินใจพักงานทั้งหมด แล้วไปค้นหาตัวเองยังต่างประเทศ พร้อมด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือนำทางชีวิตของเขา จนในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวต้นของเขาเองอีกครั้ง ว่าเขาสามารถแต่งเพลงได้ดีหากมันเกิดขึ้นจากความต้องการภายในมากกว่าการแต่ง เพลงที่เกิดจากการจ้างวานด้วยเงินเป็นจำนวนมาก
                เขาจึงหันกลับมาแต่งเพลงที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงทำให้เขาพบความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานเพลงเหล่านั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เขาได้อย่างมากมาย นักแต่งเพลงคนนั้นชื่อ บอย โกสิยพงษ์ หรือ นักแต่งเพลงรักในอันดับต้นๆของประเทศไทย
                จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่ตนเองรัก มากกว่าการทำงานเพื่อเห็นแก่เงินจำนวนมาก ถ้าหากท่านทำให้สิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชื่อเสียง เงินทอง ก็จะมาหาท่านเอง กระผมขอเขียนขยายความเรื่องของใจรักในงานว่ามีประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
  1. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ ย่อมเป็นบันไดก้าวแรกซึ่งนำพาเราสู่ความสำเร็จ ความมีใจรักในงานที่ตนเองทำจะนำพาชีวิตเราก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความ สำเร็จ เช่น เฉินหลงรักในงานแสดง , เอดิสัน รักในงานประดิษฐ์ , ไทเกอร์ วูดส์ รักในกีฬากอล์ฟ , สตีฟ จอบส์ รักในงานค้นคว้านวัตกรรมทางเทคโนโลยี ฯลฯ
  2. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ เราลองสังเกตดูว่า หากเราทำงานที่เราไม่ชอบ เราจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ ไม่อยากทำงาน ขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น แต่หากเราลองได้ทำงานที่เรามีใจรัก ก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำ มีความขยันขันแข็ง ทำงานนั้นด้วยความสนุกสนาน เกิดความกระตือรือร้นในงานที่ตนเองทำ
  3. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังใจ แก่ตัวเรา หากเรามีใจรักในงานที่ตนเองทำ  งานนั้นจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส อยู่เสมอ ยิ่งหากเราได้เห็นผลงานที่เราได้ทำสำเร็จชิ้นแล้วชิ้นเล่า เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ แต่ตรงกันข้าม หากเราได้ทำงานที่เราไม่ชอบ ก็จะทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกที่หดหู่ ไม่เบิกบาน ผลงานที่ได้ทำออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร เราจะไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ทำออกมา
  4. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ มักสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น สองพี่คนตระกูลไรต์ ประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ก็เนื่องจากการมีใจรักในงานที่ตนเองทำ ซึ่งก่อนการประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกนั้น คนทั่วไปมักบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเคยมีคนตั้งมากมายได้พยายามประดิษฐ์เครื่องบินแล้วก็ไม่ประสบความ สำเร็จ แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ทำ ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดเครื่องบินลำแรก ของโลกก็เกิดขึ้น จากสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เนื่องจากใจรักในงานที่ทำนั้นเอง               
ดังนั้น การมีใจรักในงานที่ตนเองทำจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จพึ่งมี บัณฑิต อึ้งรังสี รักในงานวาทยกร
ซึ่งในยุคสมัยของเขา วาทยกรในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ตนเองทำ เขาฝึกฝนอย่างหนัก หาโอกาสต่างๆให้กับตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุด โลกก็จารึกชื่อของเขาให้เป็นวาทยกรระดับโลก
จงรักในสิ่งที่ท่านทำ จงทำในสิ่งที่ท่านรักแล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในการทำงาน

จงดำเนินธุรกิจของตนเอง

จงดำเนินธุรกิจของตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                การดำเนินธุรกิจของตนเองมีประโยชน์หลายๆ อย่าง ถ้าหากท่านเป็นคนหนึ่งที่กินเงินเดือนประจำท่านสามารถใช้เวลายามว่างในการ ดำเนินธุรกิจของตนเองได้ เนื่องจากการมีธุรกิจของตนเองจะมีข้อดีหลายๆอย่างดังนี้
                1.เป็นอิสระ  เป็นนายของตนเอง ไม่เป็นลูกน้องของใคร ท่านสามารถตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ท่านสามารถกำหนดวิธีการบริหารงานได้ด้วยตนเอง เช่น ท่านสามารถกำหนดช่วงเวลาทำงาน , ช่วงวันหยุด , การตลาด , ตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ของท่านได้ด้วยตนเอง ฯลฯ
                2.สร้างทรัพย์สิน การประกอบธุรกิจของตนเองสามารถสร้างทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็วกว่าการกินเงิน เดือน เนื่องจากเมื่อกิจการของท่านเจริญก้าวหน้าขึ้น มีผลกำไรมากขึ้น ท่านสามารถซื้อทรัพย์สินเพื่อขยายกิจการของท่านออกไปอีกได้ เช่น การซื้อสำนักงาน , การซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในงาน , การซื้อคอมพิวเตอร์ ,  เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ ตรงกันข้ามกับการได้รับเงินเดือน ท่านจะมีรายได้ที่มีจำนวนจำกัด
                3.ได้รับค่าตอบแทนที่สูง ในการทำธุรกิจหากว่าท่านได้รับกำไร ท่านก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สูง จากการที่ท่านได้ลงทุน ลงแรงไป ซึ่งอาจจะมากมายหลายเท่ากว่าการทำงานกินเงินเดือน
                4.มีสิทธิร่ำรวย คนจีนในสมัยอดีตมักสอนลูกหลานให้รู้จักทำการค้าไม่ให้กินเงินเดือน เนื่องจากการทำงานค้าขายนั้นมีโอกาสร่ำรวยได้สูงกว่าการมีรายได้ประจำที่มี รายได้ที่จำกัดจำนวน
                5.ได้อภิสิทธิ์ที่เหนือกว่า การเป็นเจ้าของกิจการมีโอกาสหรือมีสิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินของกิจการได้โดย ไม่ต้องอนุญาตใคร เช่น ใช้รถยนต์ของกิจการ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้เครื่องถ่ายเอกสาร การใช้เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ซึ่งแตกต่างจากการเป็นลูกจ้าง ท่านต้องขออนุญาตจากเจ้าของกิจการเสียก่อนถึงจะสามารถใช้ทรัพย์สินบางอย่าง ได้
                6.ความสำเร็จ เมื่อธุรกิจที่เราทำเกิดการขยายตัวจนยิ่งใหญ่ ทำให้คนทั่วไปรู้จัก ท่านจะมีความภาคภูมิใจเพียงใด นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ที่ใครๆเรียกว่า “ เถ้าแก่น้อย หรือ นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ” เป็นตัวอย่างได้ดีในเรื่องนี้ เขาเริ่มต้นทำธุรกิจตอนอายุเพียง 18 ปี จนบัดนี้เขาสามารถเป็นนักธุรกิจร้อยล้านบาทเลยทีเดียว เขาเริ่มต้นจากจุดเล็กจากผลิตภัณฑ์ขายสาหร่ายทะเลจนเป็นธุรกิจระดับประเทศ อีกทั้งยังส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย
                อีกทั้งการทำธุรกิจของตนเองยังมีข้อดีอีกหลายประการเช่น เราได้ใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่กว่าการทำงานประจำ , เราสามารถได้ทำธุรกิจหรือสิ่งที่เราอยากทำอย่างแท้จริง , เราไม่ต้องถูกใครบังคับบัญชาให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ
แต่ในมุมกลับ การทำธุรกิจส่วนตัวก็มีความเสี่ยงมากกว่าการทำงานประจำหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงในการขาดทุน , ความเสี่ยงต่อการถูกคนกลั่นแกล้งทางการค้า , ความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฯลฯ
                ดังนั้น คนที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัวจึงต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่คนที่ทำงานประจำ ไม่มี สิ่งนั้นก็คือ ความกล้าที่จะเสี่ยง ความกล้าที่จะยอมลำบากโดยเฉพาะในช่วงก่อตั้งธุรกิจใหม่ๆ  ความทะเยอทะยาน ความเด็ดเดี่ยว เป็นต้น

มาเป็นวิทยากรกันเถอะ

มาเป็นวิทยากรกันเถอะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                ในปัจจุบันนี้กระผมประกอบอาชีพวิทยากรอิสระ ซึ่งอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ดีมากๆ กระผมหวังว่าผู้อ่านอีกหลายท่านคงมีความสนใจจะประกอบอาชีพนี้เช่นกัน ซึ่งข้อดีของอาชีพวิทยากรอิสระมีหลายอย่าง เช่น
                1.เป็นอาชีพที่ท่านสามารถบริหารเวลาได้เอง เป็นอาชีพที่ไม่เหมือนกับการทำงานประจำซึ่งจะต้องมีการลงเวลาทำงาน อีกทั้งท่านไม่ต้องไปทำงานทุกวัน ท่านสามารถเลือกงาน เลือกวันทำงานได้ ว่าท่านจะรับไปบรรยายหรือไม่ไปก็ได้
                2. เป็นอาชีพที่ทำให้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาตนเองหลายๆด้าน คนที่จะเป็นวิทยากรต้องเรียนรู้มาก ต้องเข้ารับการอบรม ต้องอ่านหนังสือมาก อีกทั้งยังต้องฝึกฝนพัฒนาทักษะต่างๆ เช่น ทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ทักษะการนำเสนอ ,ทักษะในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ , ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ
                3.เป็นอาชีพที่ได้รู้จักคนเป็นจำนวนมาก รู้จักคนหลากหลายอาชีพ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมากมาย ทำให้เป็นที่เคารพแก่บุคคลทั่วไป
                4.เป็นอาชีพที่ได้ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น กินฟรี เดินทางฟรี พักฟรี โดยมีคนออกค่าใช้จ่ายให้  อาชีพวิทยากรมักถูกเชิญให้ไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสานและภาคกลาง หรือเกือบทั่วทุกจังหวัด ท่านสามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ ในระหว่างเดินทาง หรือ หลังจากการบรรยายท่านสามารถใช้เวลาว่างไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยผู้จัดการอบรมออกค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าโรงแรมที่พัก และค่าอาหารให้แก่ท่าน
                5.เป็นอาชีพที่ให้ความช่วยเหลือ อุทิศตน และช่วยพัฒนาประเทศชาติ  อาชีพวิทยากรเป็นอาชีพที่ให้ความรู้ ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรขององค์กรต่างๆ เป็นอาชีพที่ส่งเสริมให้บุคลากรมีทักษะ มีศักยภาพในการทำงาน จึงเป็นอาชีพหนึ่งที่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือ อุทิศตนและช่วยพัฒนาประเทศชาติได้อีกอาชีพหนึ่ง
                6.เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ตามสมควร แต่หากว่าท่านสามารถพัฒนาตนเองจนเป็นที่ยอมรับของผู้คน ท่านก็สามารถสร้างรายได้อย่างมากมายมหาศาลจากอาชีพนี้ ฉะนั้น ชั่วโมงบินจึงมีความสำคัญมากสำหรับอาชีพนี้ ยิ่งมีเวทีมาก ยิ่งพูดได้ดี ยิ่งคนรู้จักมาก โอกาสสร้างรายได้ยิ่งมีมากขึ้น
                7.เป็นอาชีพที่สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ ท่านสามารถคบหาบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างโอกาสในการทำธุรกิจได้ในอนาคต
                8.เป็นอาชีพที่ไม่ต้องมีเจ้านาย มีลูกน้อง ท่านจึงไม่ต้องไปกระทบหรือมีความขัดแย้งกับใคร ทำให้เกิดความสบายใจในการทำงาน ท่านจึงสามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่
                9.เป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ทำให้ลดความเสี่ยงในการขาดทุนหรือล้มละลาย
                10.เป็นอาชีพที่ขายองค์ความรู้ ซึ่งมีอยู่ในตัวของท่านเอง จึงเป็นสินค้าที่ไม่มีวันขายหมด แต่จะมีเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ หากว่าท่านได้อ่านมากขึ้น อบรมมากขึ้น หาความรู้มากขึ้น
                เมื่อท่านได้อ่านข้อดีของอาชีพวิทยากรแล้ว กระผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านมีความสนใจ อยากที่จะประกอบอาชีพนี้ ซึ่งหากว่าท่านมีความสนใจ มีความรักในอาชีพนี้ และท่านมีการฝึกฝน พัฒนาตนเอง อย่างไม่หยุดยั้ง กระผมเชื่อแน่ว่าท่านสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพวิทยากรได้เหมือนวิทยากร ที่เก่งๆ ในระดับประเทศ

จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร

ะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                กระผมเชื่อว่า การเริ่มต้นเป็นวิทยากรของวิทยากรในอดีตและปัจจุบัน มีเส้นทางที่แตกต่างกัน สำหรับตัวกระผมเอง เรียนจบปริญญาตรีมาก็ไม่เคยคิดประกอบอาชีพนี้ แต่ดันไปทำงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) เกือบ 5 ปี แล้วไปเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร และ มหาวิทยาลัยพะเยา เกือบ 13 ปี แล้วจึงลาออกมาเป็นวิทยากรอิสระ ซึ่งอาชีพอาจารย์ประจำกับวิทยากรอิสระมีความแตกต่างกัน เช่น การนำเอาวิธีการสอนของนิสิต นักศึกษา ในห้องเรียน มาใช้กับคนทำงานในห้องฝึกอบรม มักใช้ไม่ค่อยได้ผล ,  การบรรยายในห้องเรียน 3 ชั่วโมง มีหนังสือ ตำรา อุปกรณ์ต่างๆ แต่พอเป็นวิทยากรใหม่ๆถูกเชิญไปพูดหัวข้อสั้น เช่น “ การใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ”  3 ชั่วโมง กระผมขอสารภาพว่า นั่งกลุ้มเลย ไม่รู้จะเอาอะไรไปพูด เพราะกระผมเคยฝึกพูดที่ สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , ชมรมปาฐกถาและโต้วาที (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ,สโมสรฝึกการพูดต่างๆ เขาให้ฝึกพูดแค่ 5-8 นาที เป็นต้น
                แต่เมื่อกระผมได้ผ่านเวทีต่างๆมามาก ผ่านประสบการณ์มามาก บางเวทีอาจประสบความสำเร็จ บางเวทีก็อาจจะล้มเหลว มันต้องทดลองหลายแบบ จนในที่สุด ประสบการณ์ต่างๆ ก็จะสะสม จนเราเองเกิดความชำนาญ หากถูกเชิญให้พูดเรื่องเดียวกัน เช่น “ การใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ” 3 ชั่วโมง ในปัจจุบัน กระผมอาจขอสัก 6 ชั่วโมง เพราะไหนๆก็จะไปพูดทั้งทีแล้ว เสียค่าเดินทาง เสียค่าใช้จ่ายแล้ว  ไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม  แต่สำหรับคนที่ต้องการจะเป็นวิทยากรอิสระกระผมขอแนะนำดังนี้
                1.ท่านควรเลือกหัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านมีความถนัด ท่านมีความรู้ ที่จะสามารถถ่ายทอดได้  เช่น การพูดต่อหน้าที่ชุมชน ,  ขายอย่างเซียน , ครบเครื่องนักบริหาร , การบริการสู่ความเป็นเลิศ ฯลฯ
                2.หาโอกาส หลังจากนั้นควรหาเวทีบรรยายหรือนำเสนอตัวต่อหน่วยงานต่างๆ ที่มีความต้องการที่จะฟัง หัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านบรรยาย ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ ท่านอาจจะรับบรรยายให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง พัฒนาเนื้อหาของหลักสูตรของท่าน  เช่น ไปบรรยายที่ วัด สถาบันการศึกษา สโมสร สถาบัน ชมรม ฯลฯ
                3.นำเสนอหลักสูตรแก่สถาบันต่างๆหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม เมื่อท่านมีความมั่นใจว่าหลักสูตรที่ท่านไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ท่านสามารถบรรยายด้วยความเชื่อมั่น ลำดับต่อไปท่านควรนำเสนอหลักสูตรนั้น แก่ สถาบันหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม เพื่อให้สถาบันหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรมหาลูกค้าให้แก่ท่าน
                4.สร้างเครือข่าย แสวงหากลุ่ม หรือ บุคคลที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันเพื่อช่วยเหลือกัน ท่านควรสมัครเข้า สถาบันหรือองค์กรต่างๆ ที่สามารถนำพาท่านให้มีโอกาสได้ไปบรรยายหรือได้เป็นวิทยากรมากยิ่งขึ้น เช่น  สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย  ,  สโมสรฝึกการพูดต่างๆ ,  สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ฯลฯ
                5.ถือกระเป๋า เดินตามวิทยากรรุ่นพี่ หากท่านมีความมุ่งมั่นในเส้นทางวิทยากรอิสระจริง ท่านอาจจะต้องลงทุนเพิ่มพูนประสบการณ์ ด้วยการเรียนรู้  คอยรับใช้ คอยให้ความช่วยเหลือ วิทยากรมืออาชีพ เพื่อจะได้เรียนรู้ เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการนำเสนอ เนื้อหา  ตัวอย่าง แบบฝึกหัด ฯลฯ
                6.โปรโมทตัวเองบ้าง สินค้าที่ดีหากไม่มีใครรู้จักก็มักจะขายสู้สินค้าที่ไม่ดีแต่มีคนรู้จักไม่ ได้   จงจัดหางบประมาณในการลงทุนโปรโมทตนเองบ้าง เช่น ลงทุนทำเว็บไซต์ส่วนตัว , ลงทุนโฆษณาตามสื่อต่างๆ , ลงทุนทำหนังสือที่ตนเองแต่งขาย ฯลฯ หรือ อาจจะลงทุนโปรโมทตัวเองแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การเขียนบทความลงตามสื่อต่างๆ อาทิ ในหนังสือพิมพ์ ในวารสาร ในอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
                ดังนั้น ท่านสามารถเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอิสระได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ โดยการเลือกหัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านต้องการบรรยาย , หาโอกาสให้กับตัวเอง , นำเสนอหลักสูตรแก่สถาบันต่างๆหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม , สร้างเครือข่าย  , ถือกระเป๋า เดินตามวิทยากรรุ่นพี่ และ รู้จักที่จะโปรโมทตัวเอง

ลักษณะของความเป็นผู้นำ

ลักษณะของความเป็นผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
                เมื่อพูดถึงเรื่องของคุณลักษณะของความเป็นผู้นำ กระผมเชื่อแน่ว่าหลายๆ ท่านคงคิดลักษณะของความเป็นผู้นำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าเป็นผู้นำจะต้องมีคุณธรรม เป็นผู้นำจะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นผู้นำจะต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ  ในบทความฉบับนี้เราจะมาเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันเพิ่มเติมสำหรับลักษณะของความ เป็นผู้นำ ซึ่งมีดังนี้
                1.ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์มีความจำเป็นต่อความเป็นผู้นำ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้นำขาดมิได้  เพราะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จะมองเห็นภาพของเป้าหมายที่วางไว้  แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์ ผู้นำคนนั้นจะไม่มีเป้าหมายในการนำและจะมองไม่เห็นภาพเป้าหมายในอนาคต ฉะนั้น หากท่านได้มีโอกาสเป็นผู้นำ ขอให้ท่านอย่าได้ขาดวิสัยทัศน์
                2.ผู้นำต้องมีความทุ่มเท ความทุ่มเทจะเป็นสิ่งที่แยกนักปฏิบัติออกจากนักฝัน ผู้นำหลายท่านมักมีวิสัยทัศน์ แต่ขาดการลงมือทำ การทุ่มเท ลงมือทำจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จของผู้นำ หากไม่มีการลงมือทำ ผลงานก็มักจะไม่เกิด ความทุ่มเท จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ตามเกิดความศรัทธาในตัวของผู้นำ เพราะคนมักจะไม่ตามผู้นำที่ปราศจากความมุ่งมั่นทุ่มเท
                3.ผู้นำต้องมีการสื่อสารที่ดี หากว่าผู้นำมีความรู้และความคิดดี  แต่ไม่สามารถสื่อสารหรือถ่ายทอดได้ ผู้นำอาจจะต้องทำงานคนเดียว การสื่อสารที่ดีควรทำเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งแตกต่างจากนักวิชาการหรือผู้นำบางท่าน มักจะทำเรื่องง่ายๆให้สลับซับซ้อนเพื่อให้เกิดความเข้าใจยาก  ถ้าหากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพจงพัฒนาการสื่อ สารของท่าน
                4.ผู้นำต้องมีมนุษย์สัมพันธ์  ผู้นำต้องทำงานกับคน หากว่าผู้นำขาดซึ่งความมีมนุษย์สัมพันธ์เสียแล้ว ผู้ตามหรือคนมักจะไม่ให้ความร่วมมือ จงเอาใจใส่ผู้คนที่ท่านทำงานด้วย จงมีน้ำใจต่อผู้อื่น จงเข้าใจผู้อื่น และจงช่วยเหลือผู้อื่น แล้วความมีมนุษย์สัมพันธ์ของท่านก็จะมีการพัฒนาขึ้น
                5.ผู้นำต้องมีการควบคุมตนเองได้  หากท่านมีความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำที่ดี คนแรกที่ท่านจะต้องนำก็คือตัวของท่านเอง พระพุทธองค์ยังได้ตรัสไว้ว่า “ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สุด ก็คือการชนะใจตนเอง ”  จงควบคุมตนเอง อย่าได้มีนิสัยปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามยถากรรม จงควบคุมอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง และจงควบคุม กาย วาจา ใจ ถ้าหากว่าท่านต้องการเป็นผู้นำที่ดี
                6.ผู้นำต้องเรียนรู้  จงให้ความสำคัญใน การฟัง การอ่าน และการเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรใหม่ๆ หรือ มีประสบการณ์ในด้านนั้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่หากว่าคุณต้องการเป็นสุดยอดในวงการ คุณจะต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่บัดนี้ จงเริ่มเรียนรู้ทุกๆวัน โดยเริ่มเรียนรู้ให้เพิ่มขึ้นวันละ 2 เปอร์เซ็นต์ แล้วภายในหนึ่งปีท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของท่าน
                7.ผู้นำต้องมองโลกในแง่ดีหรือมีทัศนคติที่ดี โทมัส เอดิสัน เขาสามารถยืนหยัดต่อความล้มเหลวในการทดลอง หลอดไฟฟ้า , ผู้พันแซนเดอร์ส เจ้าของสูตรไก่ทอด KFC อดทนต่อการถูกปฏิเสธในการเดินเร่ขายสูตรไก่ทอดนับพันครั้ง หากบุคคลทั้งสองขาดการมองโลกในแง่ดีหรือขาดทัศนคติที่ดี เราก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้หลอดไฟฟ้าหรือรับประทานไก่ทอด KFC ได้ เหมือนในปัจจุบันนี้
                8.ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มากหรือน้อย ผู้ที่เป็นผู้นำต้องกล้าที่จะต้องตัดสินใจถึงแม้ว่าการตัดสินใจนั้น จะถูกหรือผิด ก็ตาม แต่หากท่านไม่กล้าตัดสินใจ ความศรัทธาของผู้ตามในตัวผู้นำก็จะลดน้อยลง แต่การตัดสินใจของผู้นำที่ดีต้องมีการตัดสินใจที่ถูกมากกว่าผิด เพราะถ้าหากการตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องใหญ่ๆ เพียงแค่ครั้งเดียวอาจทำให้องค์กรนั้นๆ ล่มสลายได้
                ฉะนั้น การมีวิสัยทัศน์ ความทุ่มเท  การสื่อสารที่ดี การมีมนุษย์สัมพันธ์ การควบคุมตนเอง การเรียนรู้ การมองโลกในแง่ดีและการกล้าตัดสินใจ จึงเป็นลักษณะของความเป็นผู้นำ จงเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แล้วท่านก็จะเป็นผู้นำที่ผู้คนปรารถนาอยากที่จะติดตาม

จะพูดให้ดี…ต้องรู้จักสร้างความเชื่อมั่น...

จะพูดให้ดี…ต้องรู้จักสร้างความเชื่อมั่น...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                บุคคลไม่ว่าจะมีความรู้มากมายขนาดไหน มีการศึกษาสูงเพียงไร แต่หากขาดซึ่งความเชื่อมั่นแล้ว เขาก็ไม่สามารถนำเอาความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่ผู้อื่นและประเทศชาติได้ เข้าทำนองคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ”
                ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไม่มีการศึกษาสูง ไม่มีปริญญา มีการศึกษาน้อยนิด แต่เขาสามารถเป็นผู้นำและเปลี่ยนแปลงโลกได้ ดังเช่น ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำของเยอรมัน ไม่ได้เรียนจบปริญญา แต่ด้วยความเชื่อมั่น เขาสามารถพูดชนะใจ ประชาชนชาวเยอรมัน และสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในแนวทางที่เขาวางไว้ได้
                ซึ่งความเชื่อมั่นนี้ ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูด จะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อมั่นในข้อมูลหรือความรู้ที่ตนเองได้เตรียมไว้ มีความเชื่อมั่นในความคิดความอ่านของตนเอง เพราะว่าหากท่านมีความเชื่อมั่นในตนเอง ท่านสามารถเป็นอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเป็นนักพูด
                ความเชื่อมั่นนี้มีความสำคัญมากในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะถ้าหากผู้พูดไม่เชื่อมั่นในตนเองแล้ว ผู้ฟังก็มักจะไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความศรัทธาในตัวของผู้พูด  ความเชื่อมั่นนี้ยังรวมถึงการแสดงออกภายนอกของผู้พูดอีกด้วย เช่น ท่าทาง บุคลิกภาพ น้ำเสียงในการพูด สีหน้า ฯลฯ
                ความประหม่า ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวทำลายความเชื่อมั่น ซึ่งวิธีแก้ความประหม่า เคยมีครูอาจารย์หลายท่านที่ได้แนะนำไว้ว่า ผู้พูดควรพูดเสียงดังกว่าปกติเพียงเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น แล้วค่อยเบาเสียงลงให้อยู่ในภาวะปกติ หรือ ก่อนพูดควรดื่มน้ำเย็นเพียงสักเล็กน้อย ต้องขอย้ำนะครับว่า เพียงสักเล็กน้อย เพราะถ้าบางท่านนำคำแนะนำไปใช้แต่ดันดื่มมาก จะทำให้เกิดการปวดฉี่ได้ในเวลาพูดบนเวที หรือ ก่อนขึ้นพูดควรพูดปลุกกำลังใจตนเองในใจ เช่น สู้ตาย , การพูดในหัวข้อนี้ข้าพเจ้ารู้ดีที่สุด , ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้เราเต็มที่ไว้ก่อน ฯลฯ
                ฉะนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความประหม่าไปได้บางส่วน แต่ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุด ในการแก้ความประหม่าก็คือ ท่านต้องขึ้นพูดบ่อยๆ นั้นเอง เพราะ ถ้าเรากลัวสิ่งไหนแล้วเราทำสิ่งนั้น ความกลัว ความประหม่า ก็จะลดน้อยลงไปเอง
 และไม่ควรเชื่อคำแนะนำที่ผิดๆ เนื่องจากบางท่านมีอาการประหม่า จึงไปถามเพื่อนฝูงว่าจะแก้ไขอย่างไร เพื่อนฝูงบางท่านจึงแนะนำให้ไปดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หรือ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์  ซึ่ง หากท่านใดปฏิบัติตามอาจก่อให้เกิดปัญหาได้มากกว่าที่จะแก้ปัญหา เนื่องจากเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เมื่อดื่มไปมากๆ มักทำให้ผู้พูด ขาดสติหรือมีสติลดน้อยลง อาจทำให้เกิดการผิดพลาดในการพูดได้
                แต่ หากว่าเรามองโลกในแง่ดี ความจริงความประหม่า ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าตัวประหม่านี้จะทำให้นักพูดท่านนั้น เกิดพัฒนาตนเองได้มากขึ้น เนื่องจากหากข้อมูลไม่พร้อม การเตรียมตัวไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดความประหม่าหรือความกลัว ฉะนั้น เพื่อลดความประหม่าและลดความกลัว จึงทำให้เกิดการเตรียมข้อมูลมากขึ้น เตรียมการพูดมากขึ้น เมื่อเตรียมการพูดมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจในการพูดยิ่งขึ้น
                ตรงกันข้าม หากผู้ใดไม่มีความประหม่า ไม่วิตกกังวลเลย ก็จะทำให้ผู้นั้นประมาท ซึ่งมีผลทำให้ขาดการเตรียมข้อมูล ขาดการเตรียมตัว ไม่ทำการบ้าน กล่าวคือมีความรู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น ทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ไม่มีคุณภาพ ไม่มีข้อมูลใหม่ๆ มานำเสนอ ขาดตัวอย่างประกอบ

                ดังนั้น หากท่านปรารถนาจะเป็นนักพูด ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ไม่มีใครหรืออิทธิพลอันใดที่จะช่วยท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ตัวเราเองต่างหากที่กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ว่าเราจะเป็นนักพูด ตามที่เราใฝ่ฝันได้หรือไม่  ตัวเราเองต่างหากต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง  เราจะเป็นนักพูดระดับธรรมดาสามัญ หรือ นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและความปรารถนาอย่างแรงกล้าในตัวของเรา

ข้อดีของการให้ถูกออกจากงาน

ข้อดีของการให้ถูกออกจากงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงสภาวะการที่องค์กรลดกำลังคน หรือ ในช่วงภาวะปกติ การว่างงาน การตกงานถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ของการใช้ชีวิตของการทำงาน และกระผมเชื่อแน่ว่าหลายๆท่าน ในขณะนี้ คงประสบกับภาวะการว่างงาน ดังกล่าวคือ การถูกไล่ออกจากงานหรือถูกให้ออกจากงาน หลายท่านทำใจได้ยาก นั่งกลุ้มใจ เป็นทุกข์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การถูกให้ออกจากงาน มีข้อดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้อดีของการถูกให้ออกจากงาน คือ
                1.ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เรา มีอิสระ อย่างเต็มที่ เพราะชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เรามักถูกควบคุมด้วย เรื่องของ กฎ ระเบียบ เวลา สถานที่ เจ้านาย เช่น การทำงานประจำมักต้องมีเวลาเข้าออกในการทำงาน , ต้องมีกฎระเบียบ วันลา  วันหยุด วันทำงาน , ต้องทำงานตามสถานที่ที่องค์กรกำหนด ไม่ว่าจะต้องถูกย้ายไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอต่างๆ , อีกทั้งยังเป็นอิสระจากเจ้านายที่คอยบ่น บังคับ ควบคุม ฯลฯ
                2.ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ ตามใจที่เราปรารถนา ในขณะที่ตอนที่เราทำงานประจำเราไม่สามารถทำได้ เช่น ออกเดินทางไปต่างจังหวัดไปหรือไปต่างประเทศ ในช่วงระยะเวลานานๆ ได้ , ทำให้มีเวลาว่างในการอยู่กับครอบครัวมากขึ้น , มีเวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น , มีเวลาไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มากขึ้น , ทำให้เราสามารถนอนพักผ่อนได้เป็นเวลาที่นานๆขึ้นกว่าตอนที่ต้องทำงานประจำ ที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องลำบากในการเดินทางโดยใช้เวลานานๆ ฯลฯ
                3.ทำให้เราได้มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้น เช่น ไปอบรมตามสถาบันต่างๆ , ไปอบรมในหลักสูตรต่างๆ ตัวอย่าง ไปพัฒนาทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ไปพัฒนาทักษะทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ , ไปพัฒนาทักษะในการเขียนหนังสือ , ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาว่างในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานของเราให้ดียิ่ง ขึ้น หรือบางท่านอาจใช้เวลาว่างนี้ในการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี , ปริญญาโท หรือปริญญาเอก ฯลฯ
                4.ทำให้เราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้คนต่างๆ เช่น ทำให้เราใช้เวลาว่างในการไปเยี่ยมเยือนญาติที่ไม่ได้มีโอกาสติดต่อกันนาน , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบไปหาคุณพ่อคุณแม่ , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบปะกันมานาน ฯลฯ การพบปะพูดคุยกันจะทำให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนและเมื่อมีอะไรดีๆ เขาก็จะคอยให้ความช่วยเหลือเรา
                5.เป็นข้อที่สำคัญที่สุด กล่าวคือ ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น โดยหาตัวตนว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารักจริงๆ คืออะไร ข้อดีของเรามีอะไรบ้าง ข้อบกพร่องของเรามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น บางท่านทำงานประเภทต่างๆ มามากมาย เปลี่ยนงานมาหลายสิบงาน แต่สุดท้ายถูกให้ออกจากงาน แล้วจึงกลับมาทบทวนตนเองดูว่าตนต้องการอะไร หรือ รัก ชอบ อะไร จริงๆ ในชีวิต ปรากฏว่า เขารักในการทำอาหาร ชอบทำอาหาร จึงได้เปิดร้านขายอาหาร หรือ ร้านขายขนม จนสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและครอบครัว และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีความสุขเป็นอย่างมากในการทำอาหาร เป็นต้น
                 สรุป คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านบวก ด้านลบ มีทั้งด้านดีและด้านเสีย หากเราสามารถมองโลกในแง่ดี  เราก็สามารถมีความสุขในการใช้ชีวิต เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เราจึงไม่ควรอมทุกข์ การตกงานหรือการว่างงาน จึงมีข้อดี หากเราสามารถมองในด้านดี  ซึ่งกระผมยังไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายข้อ เช่น หากเราทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี  หรือ ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะ การถูกให้ออกจากงานจึงทำให้เรามีความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพ คุณภาพชีวิต อีกด้วย

เทคนิคการพูดเพื่อนำเสนอ

เทคนิคการพูดเพื่อนำเสนอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                การพูดเพื่อนำเสนอ เป็นการพูดที่มีความสำคัญมากในปัจจุบัน เราทุกคนต่างก็เป็นนักนำเสนอ เพียงแต่ใครจะเป็นผู้นำเสนอได้ดีและมีประสิทธิภาพกว่ากัน เช่น เด็กๆ ต้องพูดนำเสนอเพื่อขอเงินผู้ปกครองไปซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ , นักขายพูดนำเสนอขายสินค้าแก่ลูกค้า , ผู้ให้บริการต้องพูดนำเสนอการให้บริการที่ประทับใจแก่ผู้รับบริการ , นักการเมืองต้องพูดเพื่อนำเสนอนโยบายแก่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจ เลือกตนเข้าไปบริหารประเทศ , ผู้เผยแพร่ศาสนาต้องพูดนำเสนอเพื่อให้ผู้ฟังเชื่อถือ ศรัทธาและนำไปปฏิบัติ ฯลฯ
                ในบทความนี้ใคร่ขอแนะนำเทคนิคบางประการที่จะทำให้การพูดเพื่อนำเสนอให้เป็นที่สนใจและดึงดูดใจผู้ฟัง ดังนี้
                1.ต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดนำเสนอที่ดีและประสบความสำเร็จ สิ่งที่ผู้พูดควรคำนึงถึงอันดับแรก คือ ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง ต้องรู้ว่าผู้ฟังคือใคร มีเพศใด มีอายุเท่าไร สถานภาพของผู้ฟังเป็นอย่างไร ทำงานอาชีพอะไร ความรู้การศึกษาของผู้ฟังอยู่ระดับไหน ผู้ฟังนับถือ ศาสนา มีวัฒนธรรม มีประเพณีอะไร  แล้วผู้ฟังมีความต้องการอะไร รักชอบอะไร การวิเคราะห์ผู้ฟังและการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังมีความต้องการจะทำให้ผู้พูด สามารถพูดนำเสนอเพื่อเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ฟังได้ ทั้งนี้การวิเคราะห์ผู้ฟังยังรวมไปถึง เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟังในขณะฟังผู้พูดพูดอีกด้วย
                2.ต้องเตรียมเนื้อหาที่จะพูด ควรมีองค์ประกอบตามโครงสร้าง คือ คำขึ้นต้น เนื้อเรื่อง และสรุปจบ  อีกทั้งต้องทำให้ทั้ง 3 ส่วน มีความสอดคล้อง กลมกลืนไปในทิศทางหรือเนื้อหาเดียวกัน ดังตัวอย่าง
2.1.การขึ้นต้นการพูดที่ดีเราต้องรู้จักสร้างความสนใจ สร้างความตื่นเต้น สร้างความอยากที่จะฟัง แก่ผู้ฟัง ซึ่งการขึ้นต้นมีเทคนิคหลายอย่าง เช่น
- การขึ้นต้นโดยตั้งคำถาม (ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังอยากมีเงินล้านภายใน 1 ปี หรือเปล่าครับ การขึ้นต้นประโยคดังกล่าว จะทำให้ผู้ฟังอยากที่จะฟังเรื่องราวของผู้พูด ว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้านภายใน 1 ปี ได้ )
- การขึ้นต้นด้วยการสร้างความสงสัย ( ท่านเชื่อไหมว่าเราสามารถอายุยืนนานถึง 110 ปี)
- การขึ้นต้นด้วยการพาดหัวข่าว( แม่แจ้งจับพระใช้ไฮไฟว์ลวง ม.3 เข้ากุฏิ)
-  การขึ้นต้นด้วยการอ้างอิง ( มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สมุนไพรไทยรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด)
สำหรับการขึ้นต้นมีความสำคัญมากสำหรับการพูดนำเสนอ หากเราขึ้นต้นได้ดี ก็จะทำให้ผู้ฟังอยากติดตามเรื่องราวที่จะนำเสนอในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่ถ้าหากขึ้นต้นไม่มี ไม่ดึงดูดใจผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่อยากฟังเรื่องราวในส่วนของเนื้อหาต่อไป
2.2.เนื้อเรื่อง เป็นส่วนของเนื้อหาที่ต้องสอดคล้องกับคำขึ้นต้น เป็นส่วนที่มีเนื้อหามากกว่า ส่วนขึ้นต้นและสรุปจบ อาจพูดได้ว่ามีสัดส่วนดังนี้( คำขึ้นต้น 5-10 เปอร์เซ็นต์  เนื้อเรื่อง 80-90 เปอร์เซ็นต์และสรุปจบ 5-10 เปอร์เซ็นต์) เช่น
- เรียงตามลำดับ เวลา สถานที่ เช่น เรียงลำดับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต , เรียงจากจังหวัดเหนือสุดไปใต้สุด ฯลฯ
- ใช้ตัวอย่างประกอบ ตัวอย่างจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเรื่องราวบางอย่างอาจจะเป็นนามธรรม แต่การยกตัวอย่างจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น
- เน้นจุดมุ่งหมายเดียว การพูดในส่วนเนื้อหาที่ดี ควรให้อยู่ในจุดมุ่งหมายหรือประเด็นเดียว ไม่ควรพูดหลายประเด็น จนผู้ฟังฟังแล้วเกิดความสับสนว่าผู้พูดต้องการนำเสนออะไรกันแน่
2.3.สรุปจบ  เป็นส่วนสุดท้าย ท้ายสุด การสรุปจบที่ดี ควรทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ตรึงใจ เช่น
- ฝากแง่คิด เป็นการพูดเพื่อฝากให้ผู้ฟังนำไปคิดต่อไป
- เรียกร้อง เชิญชวน เป็นการสรุปจบแบบ ขอร้อง เชิญชวน ให้ผู้ฟังกระทำสิ่งที่ผู้พูดต้องการ เช่น เชิญชวนให้เลิกบุหรี่ สุรา ยาเสพติด เชิญชวนให้ผู้ฟังได้ออกกำลังกาย
3.หาประสบการณ์ เทคนิคข้อนี้มีความสำคัญเป็นอันมาก คนที่มักไม่มีความมั่นใจในการนำเสนอของตน ก็เนื่องจากขาดประสบการณ์ การหาประสบการณ์ในการพูดนำเสนอจะทำให้ ผู้พูดนำเสนอเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้รู้ว่าตนเองควร ปรับปรุง แก้ไข พัฒนาตนเองอย่างไรบ้าง
4.อย่าออกตัว การพูดนำเสนอที่ดี ผู้พูดไม่ควรออกตัว การออกตัวหรือกล่าวคำขอโทษผู้ฟัง จะทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่มั่นใจ และทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ความเชื่อถือ ในตัวผู้พูด เช่น พูดว่าเรื่องที่จะนำเสนอนี้กระผมไม่ค่อยมีความรู้สักเท่าไร ,  การนำเสนอในครั้งนี้กระผมไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาต้องขอโทษผู้ฟังด้วย ถ้าหากกระผมพูดอะไรผิดพลาด ฯลฯ
ดังนั้น การพูดเพื่อนำเสนอ จึงมีความสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ ความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งยังทำให้ท่านเกิดความได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฝึกฝน  ในการพูดนำเสนอ

6 W 1 H สำหรับการพูด

6 W 1 H สำหรับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                การพูดการนำเสนอที่ดี ผู้พูดควรรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ และควรมีหลักการในการนำเสนอ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ ในบทความนี้ กระผมขอนำเสนอในเรื่อง 6 W 1 H สำหรับการพูด มีดังนี้
                1 What คือ เราต้องตอบคำถามก่อนว่า เราจะนำเสนอเรื่องอะไร  การที่เราจะไปพูดในงานต่างๆ เราต้องทราบก่อนว่า เจ้าของงานต้องการให้เราพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นเราต้องถามรายละเอียดต่างๆก่อนที่จะไปพูด เนื่องจากบางแห่ง ต้องการให้เราไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่ในความเป็นจริงเรื่องสัตว์ปีกมีจำนวนมาก ผู้พูดจึงควรถามให้ลึกลงไปว่า ที่ว่าจะให้พูดเรื่องสัตว์ปีกจะให้พูดเน้นไปในสัตว์ปีกชนิดไหน เช่น ไก่ เป็ด ห่าน ฯลฯ เพราะในสมัยอดีต เคยมีเรื่องเล่ากันว่า ชาวบ้านหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องการให้อาจารย์ท่านหนึ่งไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่อาจารย์ท่านนี้เคยมีประสบการณ์ทางด้านการพูดอยู่มาก จึงถามผู้เชิญไปพูดว่า ที่ต้องการให้พูดเรื่องสัตว์ปีกเป็นสัตว์ปีกประเภทไหน ปรากฏว่าชาวบ้านต้องการให้ผู้พูดพูดเกี่ยวกับสัตว์ปีกประเภท จิ้งหรีด แมงมัน เพราะชาวบ้านคิดว่า จิ้งหรีด แมงมันคือสัตว์ปีก ดังนั้น ผู้พูดต้องถามเจ้าของงานให้ชัดเจนถึงเรื่องที่จะให้พูด
                2 Why คือ นำเสนอทำไม มีวัตถุประสงค์อย่างไร การพูดที่ดี เราควรรู้ว่างานที่ให้ไปพูดเขามีวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการได้รับความรู้จากผู้พูด หรือต้องการได้รับความบันเทิงสนุกสนานในการพูดหรือต้องการให้ผู้พูดพูดจูงใจ ให้ผู้ฟังคล้อยตามและนำไปปฏิบัติ หากว่าผู้พูดทราบวัตถุประสงค์ของเจ้าของงานแล้ว ก็จะทำให้ผู้พูดพูดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น
                3 Whom นำเสนอต่อใคร ใครเป็นผู้ฟัง ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการพูด หากผู้พูดต้องการความสำเร็จในการพูด ผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร อายุ เพศ วัย การศึกษา การนับถือศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีอะไร
                4 Who ผู้พูดต้องทราบว่าตนเองนำเสนอหรือพูดในฐานะใด เนื่องจากคนเราส่วนใหญ่มีบทบาทต่างๆ มากมาย เช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักขาย เป็นนักเขียน เป็นนักจัดรายการ เป็นนักศึกษา เป็นนักร้อง ฯลฯ ดังนั้น หากเราสวมบทบาทนักศึกษา การนำเสนอก็ต้องออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราสวมบทนักขายเราก็ต้องพูดนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งแก่ลูกค้า เป็นต้น
                5 Where นำเสนอการพูดที่ไหน สถานที่ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น พูดในวัด พูดในห้องประชุม พูดกลางท้องสนามหลวง พูดในห้องอบรมบรรยาย ฯลฯ การวิเคราะห์สถานที่จะทำให้เราเตรียมการพูดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถาน ที่นั้นๆ
                6 When นำเสนอเมื่อไร สถานการณ์เป็นอย่างไร การพูดที่ดีต้องรู้จัก วิเคราะห์สถานการณ์ในการพูด ว่าเราควรพูดด้วยคำพูดอย่างไร ถึงจะเข้าถึงใจผู้ฟัง เช่น สถานการณ์การชุมชนทางการเมือง ควรพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง เสียงดัง ฟังชัด ไม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา เนื่องจากการพูดทางด้านการเมืองต้องใช้ ท่าทาง น้ำเสียง ภาษา การอ้างอิง เพื่อที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือและยอมรับ
                1 How เสนออย่างไร  จึงจะประสบความสำเร็จในการพูด การนำเสนอมีส่วนสำคัญมากต่อการพูด ยิ่งในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยช่วยในการนำเสนอ เช่น มีคลิปวีดีโอ มีเสียง มีคอมพิวเตอร์ มีโปรแกรมต่างๆ ที่จะทำให้การนำเสนอของเราเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น จงกล้าที่จะเรียนรู้ เทคโนโลยี เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพูด
                6 W 1 H จึงเป็นหลักการที่สามารถนำมาใช้หรือนำมาประยุกต์ใช้ในการพูดของท่านได้ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ขอให้ท่านได้โปรดเรียนรู้ พัฒนา ตนเองเพิ่มเติม อีกทั้ง หลักการ 6 W 1 H ยังสามารถนำไปใช้ในศาสตร์ต่างๆ  เช่น ศาสตร์ทางด้านการขาย 6 W 1 H สามารถนำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ลูกค้า หรือ 6 W 1 H  สามารถนำไปใช้สำหรับเป็นหลักในการเขียนหนังสือได้อีกด้วย

ความล้มเหลวอาจเป็นสิ่งที่ดี

ความล้มเหลวอาจเป็นสิ่งที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
J  ความสำเร็จมักก่อตัวขึ้น จากเถ้าถ่านของความล้มเหลว...
J  ระดับความสำเร็จคือแรงสะท้อนจากการเคยประสบความล้มเหลวมาก่อน
J  ไม่มีใครลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวได้โดยไม่แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดกว่าเดิม
  • กระผมเชื่อแน่ว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับประโยคเหล่านี้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความล้มเหลว ซึ่ง
บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคน มักจะต้องผ่านความล้มเหลวมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น แต่พวกเราส่วนใหญ่มักจะชื่นชมว่าเขาเป็นคนเก่ง เป็นคนมีโชค วาสนา แต่หารู้ไม่ว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกๆคน มักจะต้องเคยผ่านความยากลำบาก เคยผ่านความล้มเหลวมาเกือบทุกคน
-                    บิล เกตส์ กว่าจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องทุ่มเท กำลังใจ
 กำลังกายและกำลังความคิด เขาต้องพบกับความล้มเหลวนานัปการในการเริ่มต้นธุรกิจของเขา เพื่อนมักจะดูถูกเขาว่าเป็นคนสกปรก บ้าคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเขาเคยถูกบริษัท  IBM  ดูถูกว่าเขาเป็นแค่ เด็ก แต่ในที่สุด เขากลับกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
-                    เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ บุรุษเหล็กแห่งมหาสงครามโลกครั้งที่ 2
ตอนเด็กๆ เขาเป็นคนติดอ่าง และมีปัญหาทางการพูดอย่างมาก เขาเคยล้มเหลวในการพูด เคยถูกดูถูกทำให้เขาได้รับความอัปยศอดสู แต่แล้วเมื่อเขาผ่านการฝึกฝน เขาไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลวในที่สุด เขากลายเป็นนักพูดระดับชาติและผู้คนยอมรับเขาทั่วโลกในการพูดเลยทีเดียว  มีครั้งหนึ่งที่ท่านได้ถูกนิสิต นักศึกษา ถามว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ตอบว่า “ Never ,Never ,Never , Never ,Never Give Up ” แปลว่า  (ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ล้มเลิก)
-                    วอลท์ ดีสนีย์  ราชาการ์ตูนวอลท์ ดีสนีย์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ก็พบกับความล้มเหลวมาอย่างมาก
มาย เขาเคยตั้งบริษัทสร้างภาพยนตร์ แต่ถูกพนักงานบริษัทของเขายักยอกเงินหอบเงินหนีไป บริษัทของเขาประสบปัญหาจนล้มละลาย หลังจากที่เขาใช้หนี้จนหมด เขาจึงเริ่มสร้างภาพยนตร์ใหม่โดยการเช่าโรงรถของอาของเขา ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง แต่เขาต่อสู้จนในที่สุด เขาประสบความสำเร็จในการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนจนโด่งดังไปทั่วโลก
-                    และยังมีตัวอย่างของผู้ประสบความล้มเหลวอีกมากมายที่ต่อสู้จนประสบความสำเร็จในธุรกิจ
จงกล้าที่จะล้มเหลว เพราะบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยพบหรือเคยต่อสู้กับความล้มเหลวมาก่อน มักจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานหรือทำกิจการใดๆ
ความจริงแล้ว ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่า
เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราไม่ล้มเลิก สักวันหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จ จงอย่าหยุดเสียกลางคัน จงอย่าเลิกล้มความพยายาม เพราะนักปราชญ์ในอดีตบางท่านได้กล่าวไว้อย่างสวยงามว่า “ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของท่าน ถ้าหากว่าท่านล้มเหลวถึงสิบครั้ง แต่ท่านก็ยังได้พยายามต่อไป นั้นแสดงว่าความมีอัจฉริยะได้เกิดขึ้นในหน้าที่การงานของท่านแล้ว จงพยายามทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
                                                จงอย่าลืมว่าไม่มีใครสามารถตราหน้าเราได้ว่าเราเป็นคนล้มเหลวได้ นอกจากตัวเราเอง อย่าให้คำพูดของผู้อื่นมาตัดสินตัวเรา อย่าให้คำพูดของคนอื่นมากำหนดชะตาชีวิตของเรา “ ผู้ชนะไม่เคยยอมจำนน และผู้ยอมจำนนไม่มีวันชนะ ” เป็นคติพจน์ของคนโบราณแต่ก็ยังใช้ได้และให้แง่คิดกับเราได้เป็นอย่างดี
                                                จงระลึกไว้ว่า ความล้มเหลว ความลำบาก ความทุกข์ยาก ทุกครั้ง ได้แฝงมาซึ่งประโยชน์ในอนาคตที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ

การฝึกฝนให้เป็นคนขยันขันแข็ง

การฝึกฝนให้เป็นคนขยันขันแข็ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                คนที่มีนิสัยที่ขยันขันแข็งมักเป็นคนที่มีความเพียรพยายาม อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ซึ่งนิสัยความขยันขันแข็งมักตรงกันข้ามกับนิสัยที่ขี้เกียจ คนขี้เกียจมักปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ มักไม่เห็นคุณค่าของเวลา  ถ้าหากว่าเราได้มีโอกาสไปสอบถามหน่วยงานต่างๆ องค์กรต่างๆ ว่าทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ต้องการคนที่มีนิสัยขยันขันแข็งหรือว่าต้องการคนที่มีนิสัยขี้เกียจ กระผมเชื่อแน่ว่าทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ ต้องการคนที่มีนิสัยขยันขันแข็ง”
                ดังนั้น องค์กรใด หน่วยงานใดและประเทศใด ที่มีคนที่ขยันขันแข็งมากกว่า องค์กรนั้น หน่วยงานนั้น และประเทศนั้น ก็จะมีความเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นบุคคลที่มีนิสัยความขยันขันแข็ง ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน และทุกประเทศชาติ ซึ่งนิสัยความขยันขันแข็งเราสามารถฝึกฝนได้ดังนี้
  1.ปลูกฝังความเพียร ความเพียรพยายามเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ อีกทั้งทำให้เรามีนิสัยขยัน
ขันแข็ง คนที่มีความเพียรไม่ได้หมายความว่าจะทำงานหักโหมแต่ตอนแรก แล้วตอนปลายก็ไม่ทำ แต่คนที่มีความเพียร มักเป็นคนที่ทำอะไรแล้วมีความสม่ำเสมอ ไม่เป็นคนใจร้อน แต่เป็นคนที่ทำแล้วไม่หยุด ดังคำเปรียบเทียบที่ว่า “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินยังกร่อน มิใช่ด้วยความรุนแรงของหยดน้ำ  หากทว่าด้วยความเพียรพยายามอย่างสม่ำเสมอต่างหาก”
                2.ต้องฝึกฝนตนเองให้ ททท.หรือทำทันที คนขยันขันแข็ง มักจะไม่ปล่อยให้งานที่จะต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ แล้วนำไปทำในวันพรุ่งนี้ ไม่เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยทำงานแบบ “ ดินพอกหางหมู ” แต่จะเป็นคนที่มีการวางแผนและการบริหารเวลาที่ดี มีการรู้จักลำดับความสำคัญของงานที่ตนเองทำ
                3.ยึดหลัก อิทธิบาท 4 ในการทำงาน กล่าวคือ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา  ฉันทะ คือ ความรักในงานที่ตนเองทำ วิริยะความพยายาม ความเพียรในงาน จิตตะ คือมีจิตใจจดจ่อสนใจในงานที่ตนเองทำและวิมังสาคือการใคร่ครวญ วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ในผลงานของตนเอง
                4.ฝึกสมาธิในการทำงาน คนที่ขยันขันแข็ง มักเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานของตนเอง คนที่มีสมาธิในการทำงานมักไม่เป็นคนที่ชอบพูดเพ้อเจ้อหรือเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน แต่จะเป็นคนที่มีความคิดเป็นระบบ และมีความมุ่งมั่นในงานที่ตนเองทำ
                5.ต้องเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต คนที่มีความขยันขันแข็งมักเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต หากไม่มีเป้าหมายในชีวิตหรือเป้าหมายในการทำงานแล้ว ก็จะทำให้เกิดความเฉื่อยชา ไม่มีความกระตือรือร้น  ไม่มีความพยายาม แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตหรือเป้าหมายในการทำงาน ก็จะทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง อีกทั้งมีความสุข และความสนุกสนานในการทำงาน
                6.ต้องฝึกความคิดให้ทำงานอย่างเป็นกระบวนการหรือระบบ การมีกระบวนการหรือระบบในการทำงาน จะทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น  ซึ่งการทำงานอย่างเป็นกระบวนการหรือเป็นระบบ เราต้องคำนึงถึง เรื่องของการวางแผนในการทำงาน การรู้จักประยุกต์ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นต้น
                7.ต้องฝึกควบคุมตนเอง ความขยันขันแข็งเราสามารถสร้างขึ้นมาได้ ด้วยตัวของเราเอง คนที่มีความขยันขันแข็ง มักเป็นคนที่รู้จักควบคุมตนเองได้  ต้องรู้ว่าตนมีงานต้องทำ ก็ต้องพยายามปฏิเสธสิ่งที่ทำให้เสียเวลาในการทำงานเช่น การเล่น การพูดคุย จนทำให้งานสำคัญที่จะต้องทำเสียหาย , การรู้จักบริหารเวลา เมื่อวางแผนจะทำงานชิ้นใดแล้วก็ต้องพยายามฝืนใจทำหรือควบคุมตนเองให้ทำให้ เสร็จ
                จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า ความขยันขันแข็ง เราสามารถสร้าง เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้
ความขยันขันแข็งจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจริญก้าวหน้าในที่ทำงาน เป็นเครื่องมือสร้างอนาคต บุคคลใดก็ตาม ถึงแม้จะฉลาดหรือเก่งสักปานใด แต่มีนิสัยเกียจคร้าน บุคคลนั้นก็มักจะเจริญก้าวหน้าในที่ทำงานได้อย่างไม่มั่นคงและถาวร ถ้าขาดซึ่งความขยันขันแข็ง

ทำทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด

ทำทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า มีความเป็นธรรม ทุกคนในโลกนี้ มีเวลาเท่ากันกล่าวคือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ใครจะใช้เวลาให้มีค่าและเกิดประโยชน์มากกว่ากัน ศิลปะการใช้เวลาหรือการบริหารเวลา จึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้  กระผมได้มีโอกาสเข้าอบรมเรื่องการบริหารเวลาและได้อ่านหนังสือการบริหารเวลา อีกหลายสิบเล่ม และได้ลองทดลองกับตัวเอง โดยสรุป กระผมมีความคิดเห็นว่าเคล็ดลับที่สำคัญของการบริหารเวลา ก็คือ จงทำในเรื่องที่ให้ผลตอบแทนหรือผลผลิตมากที่สุด และต้องลงมือทำทุกเวลานาที
                ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตหรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จงค้นหาว่าสิ่งใดที่ทำให้ท่านได้ผลตอบแทนหรือผลผลิตมากที่สุด แล้วลงมือทำมัน ทำมันทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด เช่นกันหากคุณอยู่ในองค์กรของคุณ จงค้นหาว่าอะไรที่ให้ผลตอบแทนหรือผลผลิตมากที่สุด แล้วจึงให้คนในองค์กรลงมือทำมันทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด แล้วองค์กรของท่านจะประสบความสำเร็จ
                บุคคลที่ประสบความสำเร็จกับการบริหารเวลา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องการบริหารเวลา ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านเป็นนักการเมือง ท่านเป็นนักปราชญ์ ท่านเป็นนักธุรกิจ ท่านเป็นนักคิด ท่านคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาจนทำให้ประเทศอเมริกา ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เช่น คิดธนบัตร , คิดเรื่องประกันภัย , คิดหอสมุดสาธารณะ ฯลฯ หลายท่านอาจคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่ความจริงแล้ว เขาเป็นคนที่มีการฝึกฝนตนเองเสมอ มีการวางแผน มีการเตรียมการ ซึ่งพวกเราทุกคนก็สามารถทำได้ดังเขา
                การพัฒนาความคิด การพัฒนาสมอง เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำหากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ ซึ่งเราอาจทำได้โดยการ ฟังเทป ให้ความรู้ในรถยนต์ขณะเดินทางไปต่างจังหวัดหรือในขณะเดินทางไปทำงาน ก็จะทำให้ท่านได้ใช้เวลาทุกๆนาทีให้มีค่ามีความหมายได้อย่างดีทีเดียว อาจเป็นเทป เรื่องราวที่ปลุกกำลังใจ , เทปวิชาการทางด้านการขาย , เทปวิชาการทางด้านการพูด ฯลฯ
                จงใช้เครื่องมือช่วยในการบริหารเวลา เครื่องมือมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการบริหารเวลา เพราะจะทำให้การบริหารเวลา มีความง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องมือในยุคปัจจุบันที่ช่วยในเรื่องการบริหารเวลามีมากมาย เช่น โทรศัพท์สมัยใหม่ที่มีการกำหนดวันนัดและสามารถบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่อง รับเพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารเวลาได้ , IPAD เราสามารถบันทึกสิ่งต่างๆ ลงในเครื่องเพื่อใช้ในการบริหารเวลาได้ ฯลฯ
                แต่โดยส่วนตัวของผม ผมมักชอบใช้การจดหรือเขียนลงในกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ สมุดบันทึก สมุดไดอารี่ สมุดปฏิทิน ซึ่งทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า การจดบันทึกในกระดาษมีข้อดีหลายอย่าง เช่น เราสามารถวาดรูป ออกแบบตัวหนังสือ ขีดเขียนได้ตามความรู้สึกของเรา อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาในการเปิด ดังเช่น เครื่องโทรศัพท์หรือเครื่องมือที่ทันสมัย เพราะเครื่องมือเหล่านี้ บางอย่างเวลาเปิดมักจะต้องเสียเวลาไม่ทันใจ ตัวอย่างเช่น การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
                สำหรับปัญหาที่มักพบในเรื่องของการใช้เวลาของคนส่วนใหญ่ คือ คนส่วนใหญ่มักไม่ชอบวางแผนในการบริหารเวลา , คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมจัดลำดับความสำคัญของการใช้เวลาว่างานไหน สำคัญหรือไม่สำคัญ งานไหน เร่งด่วน หรือไม่เร่งด่วน, คนส่วนใหญ่มักผัดวันประกันพรุ่ง , คนส่วนใหญ่มักไม่มีเป้าหมายหรือไม่ตั้งเป้าหมายในการทำงาน ฯลฯ
                ดังนั้น จงทำทุกนาทีให้มีค่ามากที่สุด แล้วท่านก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายในการบริหารเวลา เช่น ท่านจะมีเวลามากขึ้น , ท่านจะมีเวลาทำในสิ่งที่ตนเองต้องการมากขึ้น , ความเครียดของท่านจะลดน้อยลง , การตัดสินใจของท่านจะดีขึ้น , สุขภาพของท่านจะดีขึ้นหากว่าท่านจัดเวลาสำหรับการออกกำลังกาย ฯลฯ